Popular Posts

Silver Lining Playbook (2013), รักเป็นบ้า



แพทเป็นบ้า
เค้าบ้ารักเมีย
ชอบเพ้อฝันว่าชีวิตจะเป็นไปตามอุดมคติ
เชื่อว่า ทุกอย่างจะต้องจบอย่างมีความสุข
และเขาต่อต้าน คนที่ไม่คิด แบบเดียวกัน

ทิฟฟานี่ มีอาการเข้ากับคนยาก
ไม่ใช่เพราะนิสัยส่วนตัวของเธอ
แต่เป็นเพราะเธอแต่งงานเร็วเกินไป
ใช้ชีวิตมาน้อยเกินไป
เด็กเกินไปที่จะแต่งงาน
และเด็กเกินไปที่จะกลายเป็นหม้าย

นั่นคือตัวละคร "แพท" และ "ทิฟฟานี่" จากหนังสือ ของ Matthew Quick
The Silver Lining Playbook เป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของ แมธธิว ควิกที่ได้ตีพิมพ์ในปี 2008
แล้วมันก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยการเล่าเรื่องของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ ได้ออกมาอย่างน่ารัก
และ เข้าอกเข้าใจ ในมุมมองที่ไม่ได้สื่อว่า ผู้ป่วยเป็นปัญหาของสังคม แต่กลับมองย้อนกลับว่า คนที่ไม่ป่วยเลยต่างหาก ที่มีปัญหา
เสมือนว่า ทุกคนในสังคมต่างเป็นคนป่วย นั่นเอง

ซิดนีย์ พอลแลค และ แอนโธนีย์ มิเกลลา ที่ได้รับมอบหมายจาก Weinstein สตูดิโอให้ดูแลโปรเจค Silver Lining Playbook ในปี 2008 พอลแลค ได้แนะนำหนังสือเล่มนี้ให้ เดวิด โอรัสเซลล์ด้วยเหตุผลว่า นี่เป็นหนังที่ "เจ็บปวดแต่งดงาม" แต่เขาจนปัญญาในการทำให้มันเป็นหนังที่ "ปราศจากความหดหู่" อย่างที่หวัง จึงได้ส่งต่อมันให้กับ เดวิด ก่อนที่ทั้ง พอลลอค และ มิเกลลา จะเสียชีวิตไปในปีเดียวกัน

โอรัสเซล ที่มีลูกชายป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ จึงคิดว่า เขาจะทำหนังเรื่องนี้ให้ประสบความสำเร็จให้ได้

"แค่มีคนเดินมาขอบคุณที่ผมทำหนังแบบนี้ขึ้นมาได้แค่สักคนเดียว ผมถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว"

เดวิด ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงลึกซึ้ง เพราะ Silver Lining Playbook มีความหมายมากกว่าการเป็นหนังรักกัดเจ็บอีกเรื่องของเขา เดวิด บอกว่า Silver Lining Playbook เข้ามาในช่วงชีวิตที่เขาต้องการมันมากที่สุด ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขาแย่มาก และ พึ่งหย่าหย่ากับเมีย หน้าที่การงานก็ย่ำแย่ ตอนเขียนบทหนังเรื่องนี้ มันช่วยฟื้นฟูได้ทุกอย่าง มันเป็นหนังที่ถ่ายถอดจากประสบการณ์คนเป็นพ่อคนหนึ่ง และเป็นหนังที่อยากให้คนดูเข้าใจ "ชีวิต" ของครอบครัวผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ด้วย

เดวิดใช้เวลา 5 ปีในการพัฒนาบท Silver Lining Playbook

เวลาไม่ใช่ปัญหาของเดวิด เพราะแม้จะเขียนบทนานถึง 5 ปีแต่ก็ใช้เวลาถ่ายทำเพียง 1 เดือนเท่านั้น
(ตามสไตล์เดวิด ที่ไม่ชอบถ่ายทำเป็นเวลานานเกิน 2-3 เดือน)

"จริงๆเราคิดว่า เจนเด็กเกินไปกับบททิฟฟานี่ แต่เธอก็แสดงให้เราเห็นถึงความเป็นธรรมชาติของเธอ เธอออดิชั่นบททิฟฟานี่ผ่าน Skype แถมตอนออดิชั่นเธอยังเล่าเรื่อง แมลงสาบในห้องน้ำกับเราอีกต่างหาก"

"สำหรับแบรดลีย์ เราเกือบได้ร่วมงานกันตอนโปรเจค Pride and Prejudice and Zombie แต่ก็พลาดไป ผมมาประทับใจเขาตอน Wedding Craher (แบรดลี่ย์เล่นเป็นตัวประกอบ)  ก่อนหน้านี้ตอนที่ผมทำ The Fighter ผมคิดว่าบทนนี้เหมาะกับ มาร์ค วอลห์เบิร์กนะ แต่มาร์คมีตารางงานที่ไม่ลงตัวกับเราเลย ผมเลยคิดถึง แบรดลี่ย์ ในบท แพท โซลิทาโน จูเนียร์"

มีคนเห็นว่า ตอนแคสบทพ่อ บทของเดอ เนอโร เขาทั้งคู่นั่งคุยกับเป็นเวลานาน และ นั่งร้องไห้ด้วยกัน
ก่อนที่เดอเนอโร จะตกปากรับคำร่วมแสดง เนื่องจากลูกชายของเดอเนโร ก็ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์เช่นกัน


หนังเปิดตัวไม่หวือหวานัก ด้วยความที่เป็นหนังฟอร์มเรียบ ฉายตามงานเทศกาลภาพยนตร์ หลังจากเดินสายกวาดรางวัลมาทีละงาน สร้างฐานแฟนๆหนังขึ้นมาทีละนิด ทุกอย่างก็มาระเบิดในเทศกาลหนังที่สำคัญงานหนึ่ง นั่นคือ เทศกาลหนังโตรอนโต ที่มักเป็นเวทีวัดกระแสออสการ์ ใครที่ได้รางวัลสำคัญๆในเวทีนี้ ตามสถิติมักมีสิทธิ์ไปลุ้นออสการ์ทุกครั้งไป
รางวัลใหญ่สุดของงานคือรางวัล ขวัญใจมวลชน (People choie's award) คือ รางวัลที่คนดูในงานโหวตให้ ณ เวลานั้นว่าประทับใจหนังเรื่องไหนมากที่สุด
Silver Lining Playbook คว้ามาได้แบบกินนิ่มๆ พร้อมเสียงปรบมือกึกก้องยาวนาน พร้อมกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากคนทั้งงาน
หลังสร้างชื่อเสียงในเทศกาลหนังโตรอนโต หนังก็เริ่มเป็นที่รู้จักและสร้่างเสียงฮือฮาในวงกว้าง ในฐานะ "ดรามาโรแมนติค" ที่เอาชนะหนัง โหดๆ บทหินๆ ฟอร์มอลังการเรื่องอื่นๆมาได้

กระทั่งหนังมีชื่อเข้าชิงออสการ์ในรางวัลใหญ่สุดทั้ง 8 สาขา อันได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม,ผู้กำกับยอดเยี่ยม,นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม,นักแสดงนำหญิง ยอดเยี่ยม,นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม,นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม,ตัดต่อยอด เยี่ยม และ บทภาพยนต์ยอดเยี่ยม

หนังถ่ายทำเดือนเดียว และ นักแสดงนำอีกกระหยิบมือ ทุนสร้างอีกไม่เท่าไหร่
กลับมาเข้าชิงรางวัลใหญ่สุดในวงการภาพยนตร์ถึง 8 รางวัลในคราวเดียวได้อย่างไร

พลอตน้ำเน่าแบบเรื่องรักๆใคร่ๆของคนป่วยนี่นะ?
พลอตเชยๆแบบการเป็นแฟนบอลทีมบ้านเกิดนี่นะ?
พลอตเครียดๆที่ดูยังไงก็ไม่เครียดแบบครอบครัวอเมริกันสุดวายป่วงนี่นะ?

นั่นคือส่วนที่ดีทั้งหมดที่ทำให้หนัง มาได้ไกลขนาดนี้

สิ่งที่เราเห็นชัดเจนหลังจากดูหนังจบคือ ทักษะการแสดงอันเยี่ยมยอดของนักแสดงทั้ง 4 คน ทั้งเจนนิเฟอร์ ลอว์ เรนซ์, แบรดลี่ย์ คูเปอร์, โรเบิร์ต เดอนีโร และ แจคกี้ วีฟเวอร์ ผู้เป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนหนัง ทำให้หนังทรงพลังอย่างยิ่ง

แต่หากได้มีโอกาสอ่าน The Silver Lining Playbook ฉบับหนังสือแล้วคุณจะยิ่งทึ่งและพยักหน้าตามทันทีหากใครมาพูดว่า "หนังสมควรได้รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง"

5 ปีกับการพัฒนาบทหนัง ไม่ได้เป็นเวลาที่นานเกินไปเลย
The Silver Lining Playbook ฉบับหนังสือนั้น เจ็บปวดแต่งดงามดังที่ ซิดนี่ย์ พอลแลคว่าไว้จริงๆ ขณะที่คุณกำลังฮากับบรรทัดนี้ บรรทัดต่อไปคุณอาจจะน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ประหนึ่งเป็นโรคไบโพลาร์ ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย ทุกอย่างพร้อมจะ Disorder บกพร่องทางการควบคุมอารมณ์ได้ตลอดเวลา

ขณะที่ฉบับหนังสือค่อนข้างเศร้ามากกว่าฮา แต่ความเป็นธรรมชาติของตัวละครในหนังสือ ได้ถูกส่งต่อสู่ฉบับภาพยนตร์ได้อย่างไร้ที่ติ หลายคนอาจชอบแพทฉบับภาพยนตร์มากกว่า เพราะเขา ตลก และ น่ารัก กว่าแพทฉบับหนังสือ ขณะเดียวกันกับที่ แพท ฉบับหนังสือ สุภาพและลึกซึ้งกว่าแพทฉบับภาพยนตร์

ความเจ๋งอยู่ตรงนี้นี่เอง

เดวิด ขมวดรวมเรื่องราวหลายอย่างในหนังสือได้อย่างดีเยี่ยม เหตุการณ์ในหนังสือที่กินเวลานานหลายตอน ถูกย่อให้เหลือประโยคเดียวในฉบับภาพยนตร์ ที่พอได้ดูแล้วรู้สึกว่า "เห้ย เจ๋งว่ะ เออ แค่นี้ก็โอเคแล้วนี่" เดวิดแทบไม่ตัดอะไรออกไปเลย แต่ใช้การขมวดรวมเรื่องราว และ สร้างจุดเชื่อมและเหตุการณ์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเติมรายละเอียดส่วนที่ไม่ได้เล่า ลงไปแทน

ฉบับหนังถูกปรับให้ซอฟต์ลงจากหนังสือ ตามวิสัยของเดวิด ผู้ชื่นชอบการทำหนังรักกัดเจ็บ เดวิดไม่ได้เอาเรื่องเศร้ามาล้อเล่น แต่กำลังทำให้เรื่องเศร้ากลายเป็นเรื่องสุขแทน ซึ่งจุดเด่นคือ บทพูดที่บ้าบอ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันธรรมชาติอย่างน่าประหลาด ความแปลกแปร่ง ที่ลงตัว ของตัวละคร ที่ทั้งเกิน ทั้งขาด แต่เรากลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติเลย

สิ่งที่ได้รับการชื่นชมและทำให้หนังเป็นหนังขวัญใจมวลชนที่สำคัญคือ
นี่เป็นหนังที่ ตีแผ่จิตวิญญาณแฟนบอล ได้อย่างลึกซึ้ง
ความเห็นส่วนใหญ่ผู้ชมอเมริกันคือ การที่หนังสื่อประเด็น NFL ออกมาได้อย่างงดงาม

"คุณเป็นแฟน EAGLES หรือเปล่า?"
แม้ประเด็นเรื่อง NFL จะเป็นเพียง Subplot ของหนัง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้แฟนหนังประทับใจประเด็นที่สื่ออกมามาก กีฬาทำให้ทุกคนไม่มีวรรณะอาชีพ กีฬาทำให้ทุกคนสวมเสื้อแบบเดียวกัน มีเลือดสีเดียวกัน
ฉบับหนังสือให้ความสำคัญกับ NFL ค่อนข้างมาก เพราะ EAGLES มีอิทธิพลกับครอบครัวแพท และ ครอบครัวทิฟฟานี่มากทีเดียว (ทุกคนต่างเป็นชาวฟิลลี่)

นอกจากความตลก และ เรื่องการเยียวยาปัญหาชีวิตของตัวละครแล้ว สิ่งที่ Silver Lining Playbook สะท้อนออกมาคือ ทัศนคติบ้าๆบอๆของแพทที่เชื่อว่า
Silver Lining จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่เชื่อมั่นใน Silver Linning ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกใจผู้ชม


ขณะที่สังคมเต็มไปด้วยเรื่องราวชวนรวดร้าว และ ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวด และต่อสู้กับทุกวันที่ผ่านไป การดูหนังเรื่องนี้อาจทำให้คนดูได้คิดว่า
เราลืมไปหรือเปล่า ว่าเราอาจพบ Silver Lining ได้ทุกเมื่อ ทำไมเราถึงต้องคิดถึงแต่เรื่องเลวร้าย การคิดถึงแต่เรื่องเลวร้ายไม่ได้ช่วยอะไร ขณะที่การมองโลกในแง่ดีเกินไปก็อาจไม่มีประโยชน์

แต่กระนั้น "การคิดถึงเรื่องดีๆ" ก็ทำให้ชีวิตมีความหวัง ได้ต่อสู้ให้ผ่านพ้นไปอีกวัน

หากเปรียบเป็นเกม NFL แม้มันจะยากกับการวิ่งข้ามสนามผ่านผู้เล่นตัวใหญ่นับ 10
ที่พร้อมเข้า Tackle เราตลอดทาง แม้เราจะล้มลง แต่เมื่อมองกลับไปก็พบว่า เราได้ผ่านจุดเริ่มต้นมาไกล
และเป้าหมายก็อยู่ข้างหน้านี้แล้ว รอเพียงเราวิ่งข้ามผ่านเส้น Touchdown ไปเท่านั้น

เรื่องราวในหนังจบลงอย่าง Happy Ending ตามที่แพทคาดไว้
แต่เรื่องราวของคนข้างนอกในโลกแห่งความเป็นจริงยังต้องเดินต่อ
อย่างน้อยคนหนึ่งที่ได้พบกับ Silver Lining ในชีวิตจริงแล้ว

คือ เดวิด โอ รัซเซล คนนี้นี่เอง..


10/10





ความหมายของชื่อ Silver Lining Playbook
Silver Linning เป็นสำนวน ที่มักพูดในเชิงปลอบใจและให้ความหวัง ซึ่งคำแปลตรงตัวก็คือเส้นสีเงิน ซึ่งหมายถึง หากมองไปเห็นเมฆที่บดบังดวงอาทิตย์ไว้ จนเห็นแค่แสงอาทิตย์เรืองๆอยู่ที่ขอบเมฆ ก็ขอให้มีความหวังว่า ไม่นาน พระอาทิตย์ที่อยู่ข้างหลังนั้นก็จะโผล่พ้นออกมาในเร็ววัน

ขณะที่ Playbook เป็นศัพท์ในวงการกีฬาและธุรกิจที่ ที่หมายถึง สมุดคู่มือแผนการเล่นที่โค้ชกีฬามักถือไว้จดตำแหน่งผู้เล่นในสนามและแทคติ คต่างๆ ซึ่งกล่าวกัีนว่า Playbook มีความสำคัญกับเกมการแข่งขันในแต่ละครั้งมาก

2 คำนี้เมื่อมารวมกันแล้ว อาจไม่มีคำแปลที่ถูกต้องแบบสื่อความหมายได้แม่นเป๊ะ เท่าภาษาอังกฤษ ก็ตีความเอาจากทั้ง 2 คำแล้วกันนะคะ ;P


เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ
สิ่งที่ฉบับหนังต่างจากหนังสือ

- แพทรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนาน 4 ปีไม่ใช่ 8 เดือน
นั่นทำให้แพทปรับตัวกับสังคมภายนอกที่เปลี่ยนไปได้อย่างยากลำบาก (ในหนังสือแพทเจอครอบครัวหลอกว่าอยู่ในรพ.ไม่กี่เดือนเหมือนกัน)
- แพทสั่งเรซิน แบรน ไม่ใช่เพราะ อยากทำให้เหมือนไม่เหมือนการเดท จริงๆแล้วแพทมีเงินไม่พอ ทำให้ทิฟฟานี่ต้องสั่งแค่ชา
- พ่อแพทไม่ได้ใจดีเหมือนในหนัง กว่าทั้งคู่จะคุยกันได้นานมาก และพอได้คุยกันก็พาคนอ่านน้ำตาแตกเลยทีเดียว
- เจคพี่ชายแพท ใจดีกว่าในหนังเยอะมาก
- แพทสุภาพมาก ขณะเดียวกันกับที่มีโหมดดาร์คที่รุนแรงมาก (ขณะที่แพทฉบับภาพยนตร์น่ารักมาก)
- ทิฟฟานี่สวยเซ็ก เอ็กซ์ น่ารัก เป็นคนตรงๆ (แต่ไม่โวยวายและขี้โมโหแบบในหนัง)
<

Safe Haven : นิยายเรื่องล่าสุดของ นิโคลัส สปาร์ก กับการสร้างเป็นภาพยนตร์





การกลับมาของ นิโคลัส สปาร์ก กับการหยิบนิยายเล่มล่าสุดมาทำเป็นหนัง หลัง The Lucky One ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่ฉบับหนังกลับง่อยนเสียจนแฟนหนังสือยังไม่อยากแล ต่อให้มีแซค แอฟรอนเป็นพระเอกก็ตามที
(แต่หนังได้คะแนนสูงสุดในบรรดาหนังที่สร้างจากวรรณกรรมของสปาร์กเลยทีเดียว)

หนังที่สร้างจากนิยายของสปาร์ก มักไม่ค่อยได้ขายดาราเท่าไรนัก จะเห็นได้ว่าหนังแต่ละเรื่องจะไม่หยิบดาราประเภทที่ดังระเบิดมารับบทนำ แต่จะใช้แค่ดาราพอมีชื่อเสียงเพียง 1 คนมารับบท ไม่ว่าจะบทพระ หรือ บทนาง

The Lucky One (2011) แซค แอฟรอน และ เทย์เลอร์ ชิลลิ่ง
ที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้สงเสริมอาชีพนักแสดงของใครก็ตามในเรื่องเลย

The Last Song (2010) เลียม เฮมส์เวิร์ธ และ ไมลี่ย์ ไซรัส
ก่อนที่นายเลียม จะมาชวนกรี๊ดและกลายเป็นที่จับตามองใน The Hunger Games

Dear John (2010) แชนนิ่ง เททัม และ แอมนด้า เซย์ฟรีด
นี่เป็นหนังลำดับที่ 2 ของสปาร์กที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้านรายได้ โดยเป็นหนังรักที่สามารถทำรายได้อย่างงดงาม และ แจ้งเกิดดาราหน้าใหม่ อย่าง อแมนด้า เซย์ฟรีด อย่างเต็มตัว (แม้เราจะพอคุ้นหน้าเธอใน Mamma Mia หรือ Chole มาบ้าง)

Night In Rodente (2008) มี ริชาร์ดเกีย และ ไดแอน เลน

The Notebook (2004) ไรอัน กอสลิง และ ราเชล แมคอดัม
ในสมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นแค่ดาราแุถวสอง

A Walk To Remember (2002) เชน เวสต์ และ แมนดี้ มัวร์
ที่หนังเรื่องนี้พาแมนดี้ มัวร์กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งในบท สาวเรียบร้อยป่วยเป็นโรคลูคีเมีย และ เชน เวสต์ขึ้นแท่นหนุ่มฮอตในชั่วพริบตา

และล่าสุดในปี 2013 กับการหยิบวรรณกรรมเล่ม(เกือบ)ล่าสุดมาทำเป็นหนัง โดยได้ จอช ดูฮาเมล และ จูเลี่ยน ฮัช มารับบทนำ

หนังไม่ค่อยมีแรงลุ้นแรงเชียร์เท่ากับ The Lucky One ยิ่งเห็นดาราแล้วยิ่งไม่ค่อยจะชวนหืออือ เท่าไหร่ แต่นี่กลับเป็นอีก 1 เรื่อง ที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบของ Base On Novel จาก นิโคลัส สปาร์ก

Safe Haven ฉบับหนัง สนุกและดีมาก เกินกว่าที่คิดไว้เลยทีเดียว

กล่าวกันว่าแฟนหนังสือของนิโคลัส สปาร์ก มักเป็นหญิงสาวโลกสวย มองโลกสวยงาม บ้าความโรแมนติค นั่นทำให้แม้หนังสือของนิโคลัส สปาร์ก จะขายดีหรือถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จแค่ไหน ก็ยังมิวายถูกนักเขียน หรือ นักอ่านหนังสือประเภทอื่นๆ เยาะว่า สปาร์ก เขียนเป็นแต่นิยายน้ำเน่า

ซึ่งนั่นก็เป็นความจริง แต่ก็ไม่ทั้งหมด

เหตุที่ Dear John ทำรายได้อย่างดงาม นอกจากฝีมือการกำกับที่ดี การแสดงที่ยอดเยี่ยม ยังต้องขอบคุณบทประพันธ์ของสปาร์กด้วย ที่ทำให้่ตอนจบทั้งคู่ไม่ได้ครองรักกันแบบนิยายน้ำเน่าเรื่องอื่นๆ
(อันที่จริง นิยายของสปาร์ก ก็ไม่ได้จบด้วยการครองคู่เสมอไป)

นอกเหนือจากความน้ำเน่าของเนื้อหาในนิยายของสปาร์กแล้ว จุดเด่นที่ถูกใจแฟนหนังสือมาก และ ขาดไม่ได้ในนิยายเกือบทุกเรื่องที่สปาร์กเขียนคือ "เรื่องหักมุม"

สำหรับคนดูหนัง เรื่องหักมุมในหนังโรแมนติค อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ไม่ได้พบได้บ่อยๆ

หนังที่สร้างจากนิยายของสปาร์กเองก็ มีเรื่องหักมุมเกือบจะทุกเรื่อง ขั้นตอนนี้เองที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดในการสร้างมันภาพยนตร์ ผู้กำกับจะสามารถปิดพรางเรื่องหักมุมได้ดีแค่ไหน ซึ่งขอปรบมือให้กับ Safe Haven แรงๆและดังๆ ที่ถ่ายทอดจากหนังสือสู่ภาพยนตร์ได้งดงามมาก

ในฐานะแฟนหนังสือ Safe Haven ไม่ทำให้ผิดหวัง และ ดีเกินกว่าที่คาดไว้มากๆ

และสำหรับแฟนหนัง นี่เป็นหนังโรแมนติึค คันทรี่ สไตล์ ที่ไม่ได้มีฉากหลังเป็นรักหวานแหววในเมืองใหญ่ แต่มันเกิดในชนบทอันห่างไกล ที่ไม่ได้น้ำเน่าเกินเหตุแบบที่คิดไว้แน่นอนค่ะ แนะนำเลย ^^




Bottom Line


และถึงแม้ว่า Safe Haven จะมีพลอตคล้ายกับ The Perfect Husband ของ Lisa Gardner ที่ตีพิมพ์ในปี 1998 มากๆก็ตามที แต่นิยายของลิซ่า เป็นแนว Romactic suspence ในเชิงสืบสวนสอบสวนเสียมากกว่า (ซึ่งเราว่าสนุกกว่ามาก) เอาเป็นว่าใครชอบ Safe Haven แต่อยากอ่านนิยายแบบแนวสืบสวนก็แนะนำ The Perfect Husband ที่พลอตเกือบจะเหมือนกันเป๊ะไว้แล้วกันค่ะ มีฉบับแปลไทยด้วยในชื่อ รักซ่อนร้าย

เกี่ยวกับนักแสดง พอดีเราเป็นแฟนคลับเลิฟเวอออออออออร์ ของ จอช ดูฮาเมล เลยรู้สึกมีความสุขมาก จอช น่ารักมากกกกก น่ารักจริงๆ รับบทเป็นคุณพ่อลูกสองที่น่ารักสุดๆ >< ส่วนน้องจูเลี่ยนก็ดูบ้านๆ ธรรมดา น่ารักมาก ยิ่งนักแสดงเด็กในเรื่อง ยิ่งแสดงได้น่ารักมาก (ไปแคสต์มาจากไหนไม่รู้) และเมืองในหนังก็ดูเงียบสงบและสวยมาก ดูแล้วอยากไปดูซ้ำเลย






:: Re-up 17/02/2556
<

ความเห็นหลังชม :: Django Unchained




Django Unchained

เป็นเรื่องราวของ ทาสผิวดำคนหนึ่งที่ชื่อ จังโก้ (เจมี่ ฟ็อกซ์) ที่ถูกไถ่ตัวมาเพื่อทำงานบางอย่างกับนักล่าค่าหัว (คริสตอฟ วอลท์)
ที่มีฉากหน้าเป็นทันตแพทย์ โดยภายหลัง ทั้งคู่ได้ตัดสินใจจะไปตามหาภรรยาของ จังโก้ ที่ถูกขายไปเป็นทาสในเมืองๆหนึ่งด้วยกัน

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตารันติโน่ ถึงไม่ได้ชิงผู้กำกับยอดเยี่ยม ทั้งที่หนังก็ได้ชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
แต่อย่างหนึ่งที่บอกได้ และ ยืนยันชัดเจน 100% เลยคือ ตารันติโน่ไม่เึคยทิ้งลายจริงๆ

หากคุณเป็นแฟนเดนตายของ Kill Bill ทีตารันติโน่ดับฝันเราด้วยการ ยกเลิกหนังภาค 3 ที่รอคอยมานานถึง 10 ปี
ตารันติโน่ก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไปนัก เพราะเขาส่งหนังพี่บ่าวจังโก้มาตามเมียมาให้เรารับชมแทน

ความยากคาดเดาต่อเหตุการณ์ในหนังนับเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของหนัง ตารันติโน
ที่ทำให้อดคิดถึง หนังออสการ์ปี 2007 แบบ No Country For Old Men ของสองพี่น้องโคเฮนไม่ได้
เราไม่สามารถ เดา อะไรได้เลย ทุกอย่างลุ้นระทึกตลอดเวลา
ตัวละครพร้อมจะทำอะไรที่เกินขอบเขตความคิดเราได้ทุกเมื่อ

เหตุผลว่าทำไม ลีโอนาโด กับการรับบทร้ายครั้งแรก ถึงไม่ได้มีราศีให้จับต้องในเวทีใดๆเลย
นั่นเป็นเพราะควา่มใจร้ายของตารันติโน่ ที่พลอตเรื่องไม่ส่งเสริมให้ตัวละครนี้โดดเด่น พอจะสร้าง
ความประทับใจ การแสดงของลีโอดูโอเวอร์แอ็คไปบ้าง แต่มาด และ ราศีทางการแสดงถือว่า
ไม่ได้ลดน้อยถอยต่ำลงไปเลย แม้กระทั่งการนั่งไขว้ห้าง คือการทำท่าครุ่นคิด ทำให้เรารู้สึกว่า
ลีโอ นี่มัน นักแสดงโดยสันดาน(ธรรมชาติ)จริงๆ

กลับกันกับที่ทำไม "คริสตอฟ วอลท์" ถึงกลายเป็นตัวเกงในสาขา "สมทบชายยอดเยี่ยม"
นั่นก็เพราะความลำเอียงของตารินติโน่อีกนั่นแหละที่ สร้างบทนี้ให้มีเสน่ห์ล้นเหลือ
และการแสดงของคริสตอฟ วอลท์ ก็เป็นอื่นไม่ได้เลย
อันที่จริง คริสตอฟ วอลท์ไม่สมควรได้เข้าชิงในสาขา "สมทบชาย" เสียด้วยซ้ำ
เพราะเขาเหมาะสมกับ "ดารานำชาย" ยอดเยี่ยม มากกว่า (จริงๆนะ)

ไม่แน่ใจว่าสามารถเรียกว่าเป็นหนังตลกร้ายได้หรือไม่ แต่ตารันติโน่ก็ทำให้เรารู้สึกว่า
เขาเป็นผู้กำกับอีกคนที่ทำอะไร "ตามใจตัวเอง" จริงๆ
Django Unchained เป็นหนังสนองนี้ด ที่หลังจากตารันติโน่
ได้ไปแสลมแจมใน หนังญี่ปุ่น Sukiyaki Western Django มาแล้วเกิดความชอบขึ้นมาบัดดล
หนังยังทำอุทิศให้หนัง Django ของ ผู้กำกับ เซอร์จิโอ เดอบุคชิ ด้วย

ไว้รอหนังเข้าฉายในไทยแล้ว จะทำกระทู้เจาะลึกมาคุยกันนะคะ หนังมีประเด็นแฝงเยอะพอสมควรเลยทีเดียว
(หนังให้ความสำคัญกับระบบการค้าทาสของชาวอเมริกาตอนใต้พอสมควร)



หนังเข้าไทย 14 มีนาคม 2556
:: Re-up 08/02/2556

<

... กว่าจะเจอ บิน ลาเดน ใน Zero Dark Thirty ...





** เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ **



บทความนี้รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลจากหลายแหล่ง หากมีความผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว


เคยมีเด็กคนหนึ่งตั้งคำถามว่า
ระบบพรรคการเมืองอเมริกันแตกต่างจากของไทยอย่างไร
หากเทียบกับของไทยแล้ว เดโมแครตคือ ประชาธิปัตย์ และ รีพับลิกันคือ เพื่อไทยได้หรือไม่?
แม้เป็นคำถามที่ไม่น่าตอบนัก สุดท้ายก็ต้องตอบ ว่า "ไม่ใช่" และ "ต่างกันอย่างสิ้นเชิง"

และแม้มันจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่นิดหน่อย แต่ความเหมือนหรือแตกต่างของทั้งสองระบบพรรคการเมืองไทยและอเมริกา
ไม่ใช่สาระสำคัญของบทความนี้..

Barack Obama ประธานาธิบดีจากพรรค Democrat ที่สามารถชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีจาก George W. Bush แห่ง Republican ได้ในปี 2008 ซึ่งภายในปีนั้น ชีวิตทางการเมืองของบุชตกต่ำถึงขีดสุด โดยบุชถูกโหวตให้เป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ อันเนื่องมาจาก Saddam Mission และ การคว้าน้ำเหลวรอบแล้วรอบเล่ากับการตามล่าตัว Bin Laden ทำให้ประเทศชาติสูญเสียทั้งงบประมาณและกำลังทหาร ที่มีทหารและพลเมืองล้มตายในหลักแสนคน กับการเปิดฉากสงครามกับกลุ่มตาลีบัน

มีหลักการจำอันหนึ่งที่บอกกันมาปากต่อปาก แบบทีเล่นทีจริง ว่าเราจะรู้ได้ไงว่าประธานธิบดีคนไหนมาจากพรรคอะไร

"จำง่ายๆ เดโมแครตเป็นเสรีนิยม ส่วนรีพับริกันบ้าสงคราม*"
(*หมายเหตุ ประโยคนี้เป็นมุมมอง/ความเข้าใจทางการเมืองส่วนตัวของผู้เขียน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
และเนื่องจากคุณ kdunagin ในความเห็นที่ 2-1 แก้ว่าที่ถูกต้องควรเป็น เดโมแครตเป็นเสรีนิยม ผู้เขียนจึงขออณุญาติ
แก้ข้อความจาก อนุรักษ์นิยม เป็น เสรีนิยม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และ ขออภัยเรื่องความเข้าใจที่ผิดพลาดมา ณ ทีนี้)


โอบาม่าก้าวเข้ามาในช่วงรอยต่อของภารกิจ เด็ดหัวบิน ลาเดน เขายังมีงานต้องสะสางต่อจากบุชอยู่อีกมาก
แต่แนวคิดของโอบาม่าคือ "เขาจะไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่างแบบบุช"
โอบาม่าเลือกประกาศจุดยืนว่า

"รัฐบาลอเมริกาจะไม่ทรมานผู้ก่อการร้าย และจะดำรงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชน" ---
--- "ผมพยายามจะบอกซ้ำๆว่า อเมริกาจะไม่ทำการทรมานนักโทษ ผมจะทำให้มั่นใจว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง จะทำให้อเมริกาเป็นรัฐที่มีคุณธรรมสูงส่งที่สุดในโลก..."



ปาถกฐาที่เรียกขวัญกำลังใจคืนมาสู่อเมริกันชน และ กับประชาคมโลก ซึ่งแนวคิดนี้ขัดแย้งกับ จุดยืนของประธานาธิบดีคนก่อนอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงปีที่ 3 ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ โอบาม่า
โอซามา บิน ลาเดน ถูกสังหาร



Kathryn Bigelow ผู้กำกับหญิงแกร่งที่มีดีกรี ผู้กำกับยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ปี 2008 จากหนังทหารหน่วยกู้ระเบิดในอิรักอย่าง The Hurt Locker ได้ให้ความสนใจกับหนังสือสุดอื้อฉาวแห่งวงการทหารเล่มหนึ่่ง ที่กำลังขึ้นแท่นขายดีแทนที่ Fifty shades of Gray ในช่วงเดือนกันยายน ปี 2012 มันเป็นการเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลังของการทำงานในฐานะ "หน่วยซีล" และข้อเท็จจริงเบื้องหลัง ภารกิจ "ล่าบิน ลาเดน" ของ Matt Bissonnette เรื่อง "No Easy Day"


ซึ่งหากตั้งข้อสังเกตุดีๆว่า ตัวหนังสือ No Easy Day วางจำหน่ายในเดือน กันยายน แต่ทำไม Zero Dark Thirty ที่ดูเหมือนจะหยิบพลอตเกือบทั้งหมดมาจากตัวหนังสือ ถึงมีกำหนดฉายภายในเดือนตุลาคม ที่ระยะเวลาห่างกันเพียงเดือนเดียว ?

Mark Boal นักเขียนบทคู่บุญของบิเกโลว์สนใจพลอตเรื่อง "การตามล่าบิน ลาเดน" มาแต่ไหนแต่ไร เขาจึงเขียนพลอตเรื่องการตามล่าบินลาเดนในภารกิจ Battle Of Tora Bora โดยหวังว่า อยากทำหนังที่พูดถึง "ภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จ" ของ CIA ในการตามล่า บุคคลที่อันตรายที่สุดของโลกคนนี้

การต่อสู้ที่ Tora Bora (Battle Of Tora Bora)
ย้อนกลับไปใน ปี 2001 เดือนธันวาคม หลังเหตุการณ์ 9/11 เพียง 3 เดือนใน ปฏิบัติการเสรีภาพยั่งยืน Operation Enduring Freedom สหรัฐอเมริกาเข้าจู่โจมจุดที่ "คาดว่า" เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังตาลีบันผู้ให้การคุ้มครองบิน ลาเดนในขณะนั้นภายในเขต โทราโบรา ซึ่งปฏิบัติการครั้งแรก "ล้มเหลว" และ บินลาเดน หนีไปได้

ยุทธการอนาคอนดา (Operation Anaconda)
ในปี 2002 ที่นับเป็นปฏิบัติการครั้งใหญ่ที่สุดเป็นครั้งแรกกับการเปิดฉากสงครามกับอัฟ ฟานิสถานโดยสมบูรณ์แบบ ปฏิบัติการนี้ถือว่าเป็นความอัปยศของอเมริกาอย่างแท้จริง เพราะมีหลักฐานและข้อมูล "ที่เชื่อถือได้" จากหน่วยข่าวกรองอย่างชัดเจน แต่ยุทธการอนาคอนดาก็ประสบความล้มเหลวอีกครั้ง และ สหรัฐอเมริกาสูญเสียทหารหลายร้อยนาย จากการเข้าปิดล้อมหุบขา "ชาฮีคอต" โดยที่บิน ลาเดนอาศัยความชำนาญภูมิประเทศ หนีไปได้อีกครั้ง...

"... การรบใน ยุทธาการอนาคอนดาเกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐกำลังเตรียมการบุกอิรักเพื่อขับไล่ ซัดดัม ฮุสเซน ออกจากอำนาจ สหรัฐจึงมีความสับสนหลายอย่างในการใช้คน การกำหนดโครงสร้างการบังคับบัญชา ความขัดแย้งทางบุึคลิกของผู้บังคับบัญชาที่ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อมาใน สนามรบ
แม้สหรัฐจะมียุทโธปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า แต่มิได้หมายความว่ากลไกสงครามเหล่านั้นจะมาทดแทนความสำคัญของคนลงไปได้ นี่คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ความจริงอีกครั้ง..."
- ยุทธการ, ผู้แปล ยุทธการอนาคอนดา Not A Good Day To Die หน้า 9 (คำนำ)

Not A Good Day To Die ยุทธการอนาคอนด้า ของ Sean Naylor มีฉบับแปลไทยแล้ว
สำนักพิมพ์มติชน เป็นผู้จัดจำหน่าย




ขณะที่บทหนังของบิเกโลว์และโบลกำลังพัฒนาไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ต้องพบกับข่าว "ช็อคโลก" ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2011 เมื่อบนหน้าจอทีวีตัดเข้าสู่รายการด่วน การประกาศของประธานาธิบดี บารัค โอบาม่า

"หน่วยซีลได้สังหารบิน ลาเดน เมื่อวานนี้ บริเวณจังหวัดแอบบอตทาบัต ในปากีสถาน..."

โบลและบิเกโลว์ต้องกลับมารื้อบทหนังใหม่อีกครั้ง และเตรียมหาแผนสองทันที
และโชคก็เข้าข้างเมื่อทั้งคู่พบว่า อดีตหน่วยซีลนายหนึ่งกำลังจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับ "ปฏิบัติการเด็ดหัวบินลาเดน" ในครั้งนี้ นั่นคือ Matt Bissonnette ผู้แต่ง "No Easy Day" นั่นเอง
และก็เหมือนเป็น โชคสองชั้นของ บิเกโลว์และโบล เมื่อได้พบว่า "หัวใจสำคัญ" ของภารกิจครั้งนี้
ไม่ใช่หน่วยซีลหุ่นล้ำบึ้ก หรือ CIA หนุ่มจอมมุทะลุ

แต่เป็น CIA สาว คนหนึ่งเท่านั้น...

นี่คือตัวละครที่ ผู้กำกับและคนเขียนบททุกคนบนโลกนี้ตามหา...



"เจน -- ผู้ฉลาดเป็นกรด น่าเกรงขาม และมาพร้อมกับส้นสูงแพงๆเสมอ"
คือคำนิยามที่ แมตพูดถึง CIA สาวที่ทำภารกิจตามล่าบิน ลาเดน มาเกือบ 10 ปี
หนังถูกเปลี่ยนเป็นเรื่องราวของ CIA สาวคนหนึ่งกับการตามล่าบิน ลาเดน และอุปสรรคสุดโหดที่พวกเขาต้องเจอ กว่าจะ "เด็ดหัว บิน ลาเดน" ได้ในที่สุด
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างต่อเนื่อง ว่า บิเกโลว์อาจใช้หนังเรื่องนี้ช่วยโปรโมตการเลือกตั้งของบารัค (กำหนดการฉายหนังครั้งแรกคือเดือน ตุลาคม 2012) เพราะมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ภารกิจ ล่าบินลาเดนที่ทำสำเร็จในรัฐบาลเดโมแครตและ หากได้ฉายตามโปรแกรมจริง จะเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งพอดิบพอดี

สตูดิโออย่าง โคลัมเบียร์ พิคเจอร์จึงไม่อยากเสี่ยงกับแรงต้าน จึงเลื่อนการออกฉายของ Zero Dark Thirty มาเป็นสิ้นปี 2012 ที่การเลือกตั้งสิ้นสุดลงแล้ว (และบารัคก็คว้าตำแหน่ง 2 สมัยซ้อน) ซึ่งในคราวนั้นบิเกโลว์ได้พยายามปฏิเสธว่า นี่ไม่ได้เป็นหนังที่เข้าข้างอเมริกาหรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งแต่ อย่างใด

ใครได้ดู คงพิสูจน์แล้วว่า คำพูดของบิเกโลว์นั้นจริงหรือไม่?


Zero Dark Thirty พาเราไปเริ่มต้นที่ "ภารกิจรีดความลับ" ของผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งในปี 2003 ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับกลุ่มอัลเคดาห์ ภายหลัง เหตุการณ์ 9/11 ใน ปี 2001
ที่ดูจากวิธีการแล้วดูเหมือนจะสวนทางกับ Speech ของ บารัค โอบาม่าอย่างสิ้นเชิง...

อ้อ ลืมไป ตอนนั้นมันสมัยรัฐบาล บุช นี่นะ...

บุชเคยออกมาให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว ถึงการ "ยืนกราน" ที่จะใช้ "วิธีรุนแรง" ในการรีดความลับจากผู้ก่อการร้าย เช่นวิธี Waterboarding ที่ได้รับการยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า "โหด" แบบที่นักโทษอยากจะตายไปซะ เพราะคิดว่าตัวเองใกล้ตายเต็มทีแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ยอมให้ตาย

วิธี Waterboarding คือการจับนักโทษวางบนกระดาน มัดแขนขา เอาผ้าคลุมหน้า แล้วราดน้ำลงไปบนหน้าของนักโทษ (วิธีโบราณที่ใช้กันมาเกือบ 300 ปี และยังเป็นวิธีประหารชีวิตของเชื้อพระวงศ์ของจีนด้วย) ซีลนายหนึ่งเคยทดลองวิธีนี้เพราะอยากรู้ว่ามันโหดสักแค่ไหน เค้าทนได้เพียงไม่นาน และได้กล่าวว่า
"มันเหมือนคุณถูกมัดมือ มัดเท้า จมอยู่ก้นสระ และกำลังจะตาย ด้วยวิธีนั้น ไม่ว่าคุณรู้อะไรมา คุณจะพูดมันออกมาทั้งหมด เพราะคุณไม่อยากกลับไปทรมานอีกแล้ว"

สำหรับบุชแล้ว บุชยังคงเส้นคงวาเรื่องตอบคำถามนักข่าวได้ ดี เหมือนเดิม ..


"คุณรู้ไหมว่าการทรมานนักโทษเหล่านี้เพื่อรีดข้อมูล--ข้อมูลที่เราได้มามีประโยชน์และสามารถช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ได้มากแค่ไหน"
... คำสัมภาษณ์สุดตราตรึงของบุช ที่พาคะแนนความนิยมดิ่งลงเหว..

แต่ทว่าหลังจากบุชไปแล้ว มันก็ยากเหลือเกิน ที่โอบาม่าจะ หยุดใช้ วิธีรีดข้อมูล "แบบบุชๆ" ตามที่ประกาศออกสื่อ เพราะวิธีมันได้ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลจริงๆ ..

วิธีการทรมานนักโทษก่อการร้ายเป็นที่ต่อต้านจากประชาคมโลก แต่มันก็ "เลี่ยงไม่ได้" เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า จริงๆหรือ?


ท้ายที่สุด เบาะแสหนึ่งหลุดออกมาจากปากนักโทษ คือ เรา  "ต้องติดตามคนส่งสาร"
มีผู้ต้องสงสัยอีกคนที่ดูเหมือนว่ามีความใกล้ชิดกับ บิน ลาเดน โดย เขาเป็น "คนส่งสาร" จากบิน ลาเดน โดยตรงถึงคนอื่นๆ แม้ CIA จะรู้ชื่อของเขา แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า นั่นเป็นชื่อจริงๆ และ ตัวตนจริงๆหรือไม่? หรือ CIA กำลังถูกจูงไปผิดทางอีกครั้ง?


กลางปี 2005 เกิดเหตุระเบิดพลีชีพใน ลอนดอน
ขณะที่ CIA กำลังควานหาตัว "คนส่งสาร" อย่างเอาเป็นเอาตาย เหตุระเบิดทำให้ทุกอย่างเขม็งเกลียวขึ้นไปอีก นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงต้องขอสอบสวน นักโทษคนหนึ่ง ในปากีสถาน เป็นกรณีพิเศษ



แต่ยิ่งสืบ ยิ่งค้นหาพยานและผู้ต้องสงสัยเท่าไหร่ ดูเหมือนขอ้มูลก็ยิ่งบานปลาย และเลยเถิดไปไกลจากที่คาดไว้ และ ดูเหมือน CIA จะ ไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยในระยะเวลา 3 ปี ขณะที่สหรัฐสูญเสียงบประมาณทางการทหารไปมากมายมหาศาล

ปี 2008 เกิดเหตุระเบิดภายในโรงแรม มาริออต ปากีสถาน โรงแรมที่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าพักเยอะที่สุดในกรุงอิสรามาบัด




สิ้นปี 2009 CIA ควานหาตัวคนที่คาดว่า "อาจเป็นผู้ใกล้ชิดบิน ลาเดน" ได้อีกครั้ง พวกเขาทำข้อตกลงนัดพบกันที่ Chapman Camp ทางชายแดนของอัฟกานิสถาน และที่นั่น นับเป็นการ "เหยียบจมูก" อเมริกาครั้งยิ่งใหญ่ เพราะจากการนัดหมาย กลายเป็นการ "ระเบิดพลีชีพ" ภายในฐานทัพอเมริกัน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 10 คนอันได้แก่เจ้าหน้าที่ CIA และทหารอเมริกัน รวมถึงมือระเบิด ผู้บาดเจ็บอีก 7 คน



CIA ทุกสายถูกเรียกมาประชุม เพื่อถกถึงปัญหาว่า พวกเขา "พลาดอะไรไป?"

แล้วเบาะแสก็มาถึง

เมื่อมีการพบเอกสารที่ไม่มีใครคิดว่าเกี่ยวข้องกับการหาตัว บิน ลาเดน
สุดท้ายแค่รูปถ่ายใบเดียว ทำให้ "เจน" หรือ "มายา" ใน Zero Dark Thirty กลับมาตามล่า บิน ลาเดนได้อีกครั้ง...


2010 ระเบิดพลีชีพใน ไทม์สแควร์ นิวอยร์ค ซิตี้ ทำเอา White House และ Pantagon สั่นสะเทือน
ดูเหมือนว่า ในระดับบริหาร ไม่สนใจ การตามล่า บิน ลาเดน อีกต่อไป
สิ่งที่พวกเขาแคร์จริงๆคือ "การโจมตีครั้งต่อไปคือ เมื่อไหร่?" เท่านั้น



แต่สำหรับ มายา การเก็บ บิน ลาเดน คือการ จบปัญหา ทุกอย่าง ..
มายาจึงเดินหน้ากับภารกิจเต็มที่ แม้คนอื่นๆดูเหมืนจะเลิกสนใจกับการตามล่าตัวบิน ลาเดน แล้ว มายายังคงเชื่อว่า หากเธอติดตาม "คนส่งสาร" ไปเธอจะต้อง เจอตัว "บิน ลาเดน" แน่นอน

แล้วมันก็เป็นแบบที่เธอคิดจริงๆ ...


ยุทธการ หอกของเนปจูน (Operation Neptune Spear)
ปี 2011 หลัง "การชี้เป้า" จุดที่คาดว่าน่าจะเป็น "แหล่งกบดานของบินลาเดน" นานถึง 8 เดือน
และการยืนยัน "100 % ว่า บินลาเดน อยู่ที่นั่น" ของ "เจน"
ภารกิจ "Gerenimo" ถึงถูกอนุมัติ



ยุทธการหอกของเนปจูน มีชื่อโค้ดเนมสำหรับปฏิบัติการว่า Operation Gerenimo code name
มันเป็นคืนข้างแรม คืนหนึ่ง...

คอมมานโด 79 คน และ สุนัขอีก 1 ตัว ถูกใช้ในภารกิจนี้
SEAL TEAM 6 หรือ ปัจจุบันคือ DEVGRU ถูกเรียกตัวมาปฏิบัติการลับสุดยอดครั้งนี้ เนื่องจากพวกเขาติดตามภารกิจบิน ลาเดน มาตั้งแต่ ปี 2001 ก่อนหน้านี้ในภารกิจอนาคอนดา ซีลทีมต้องพบเจอกับภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนที่ไม่คุ้นเคย แต่ทว่ามันก็อยู่ใกล้กับเขตชายแดน แต่การชี้เป้าในครั้งนี้แหล่งกบดานของ บิน ลาเดน อยู่ห่างจากชายแดนปากีสถานกว่า 148 กิโลเมตร เข้าไปในใจกลางเมือง ปากีสถาน ในจังหวัดแอบบอตทาบัต

ปฏิบัติการนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอดจากทุกหน่วยงาน กระทั่งรัฐบาลประเทศปากีสถานเอง เนื่องจากสหรัฐมีความเชื่อว่า รัฐบาลปากีสถานให้การสนับสนุนกลุ่มตาลีบันอย่างลับๆ เนื่องจาก จุดที่คาดว่าเป็นแหล่งกบดานของ บิน ลาเดน อยู่ห่างจากโรงเรียนนายร้อยปากีสถาน (ที่ว่ากันว่าถือเป็น เวสพ๊อย ของปากีสถาน) เพียง 800 เมตรเท่านั้น จึงอาจมีโอกาสเป็นไปได้ว่า ทางการปากีสถานอาจรู้เรื่อง "แหล่งกบดาน" ของบินลาเดน อยู่แล้ว ปฏิบัติการครั้งนี้จึงเก็บเป็นความลับ และเลือกปฏิบัติการใน คืนเดือนมืด


เฮลิคอปเตอร์ที่ไม่อาจมีใครทราบรุ่นที่แน่ชัดถูกใช้ในปฏิบัติการ เนื่องจากต้องบินข้ามประเทศใยระยะทางที่ไกลเกือบ 150 กิโลเมตร และ ฮ.ลำดังกล่าวยังมีสุดยอดเทคโนโลยีเก็บเสียง (ยังไม่มีใครทราบรุ่น และ ระบบเทคโนโลยีที่ใช้ในฮ.ลำนี้ เนื่องจากเป็นอาวุธลับของสหรัฐ จึงมีผู้ตั้งชื่อมันตามลักษณะของมันนั่นคือ Silence Blackhawk)

Silence Blackhawk 4 ลำถูกใช้ในปฏิบัติการ แต่แล้วก็มีเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อมี Black Hawk ลำนึงตกในจุดลงจอด นั่นทำให้ทีมต้องทำลาย ฮ.ลำนั้นทิ้ง (แต่สุดท้ายทางการปากีสถานกู้ซากได้บางส่วน โลก จึงได้รู้จัก Silence Blackhawk ลำนี้)


ทีมปฏิบัติการณ์ใช้เวลาเพียง 38 นาที ในการ Complete The Mission

ทีมบุกขึ้นไปยังชั้นบน และ ฆ่าทุกคนที่เจอ ยกเว้นเด็กและผู้หญิง(บางคน)
สุดท้าย ดูเหมือนเขาจะเจอ "ชายที่อันตรายที่สุดในโลก" เข้าแล้วจริงๆ

ดูเหมือนเราจะเจอ "แจ็คพอต" --- ซีลนายหนึ่งพูดหลังจากยิงชายคนนั้นลงไปนอนจมกองเลือด
เมื่อซีล ขานรหัส "แจ็คพอต" นั่นหมายถึง เขากำลังแจ้งว่าพบบบุคลที่ "คาดว่า" อาจเป็น "บินลาเดน"
ทีมทำการเก็บกู้ "หลักฐาน" ทั้งหมดทันที

"แด่พระเจ้าและประเทศ --- เจโรนิโม่" (For god and country, Gerenimo)

"เจเรนิโม่..."

Gerenimo Code Name ในปฏิบัติการหมายถึง "ยืนยันตัวตนแล้ว คือ บินลาเดน"
และ "บินลาเดนตายแล้ว"
(Gerenimo E-KIA : Enemy Kill In Action)


มายาได้ยินทีมขานรหัส เจเรนิโม่ แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ
ทีมพา "ร่าง" ของชายคนนั้นกลับมายังฐาน ..

พฤติกรรมของตัวจริงอย่าง "เจน" ใน No Easy Day จะแตกต่างกับ "มายา" ใน Zero Dark Thirty อยู่สักหน่อย
ตอนที่ร่างของเขามาถึง เจน บอกว่าไม่ต้องการเห็น "ร่าง" ของเขา เธอยืนอยู่ด้านหลังคนอื่นๆ มองดูซิปห่อศพถูกรูดลง หน้าเธอซีดเผือด และดูเหมือนสติสัมปัญชัญญะพร้อมขาดผึงได้ทุกเวลา จากนั้นเธอก็ร้องไห้ น้ำตาไหลออกมาจากแก้มเธอเงียบๆ เจนเพียงแต่พยักหน้าให้เขา แล้วซีลก็หิ้วแขนเธอและพาตัวเธอออกไป

ในขณะ "มายา" เดินไปเปิดถุงห่อศพของ OBL ด้วยตนเอง (เธอเรียก Osama Bin Laden ด้วยชื่อย่อ) และพยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่เป็นการยืนยันตัวตนของ OBL
จุดนี้เองได้มีกระแสออกมาต่อต้านถึงตัวตนของ "มายา" ใน Zero Dark Thirty ว่า บิเกโลว์ได้ใส่ตัวตนของตนเองลงไปในตัวมายา มากกว่าจะเป็นตัวจริงๆของ CIA สาว

กลุ่ม Feminist ในอเมริกาได้ออกมาตั้งข้อสังเกตุว่า บิเกโลว์ทำให้ Zero Dark Thirty มีสื่อถึงความเป็น Feminist ที่ว่า หญิงก็สิทธิและความสามารถเท่าเทียมกับชาย
แต่จริงอยู่เรื่องที่ว่า  CIA สาวคนนั้นแข็งแกร่ง แต่ตัวตนของมายากลับดูคล้าย บิเกโลว์ เพราะบิเกโลว์อาจคิดว่า มายาเป็นตัวเธอเอง ซึ่งก็คือ หญิงแกร่งท่ามกลางหมู่ผู้ชาย ผู้ไม่สะทกสะท้านกับเรื่องราวอันโหดร้ายใดๆ


เรื่องเล่าของแมตจาก No Easy Day

หลังการตายของบิน ลาเดน เกิดหนังสือประเภท "เบื้องหลังการปลิดชีพบิน ลาเดน" มากมาย ส่วนใหญ่คนเขียนก็เป็น "อดีดซีลทีม" หรือ ไม่ก็หน่วยข่าวกรองที่รู้ข้อมูลวงใน

แต่ทำไม No Easy Day จึงน่าสนใจกว่าเล่มอื่นๆ แม้ จะมีตัวละครเจ๋งๆ แบบ CIA สาวก็ตาม มันน่าจะมีอะไรที่ดึงดูดให้ No Easy Day มีความสำคัญ จนกลายเป็นพลอตหลักที่นำมาใช้สร้างเป็นภาพยนตร์

ทำไมเรื่องเล่าของ Matt Bissonnette จึงน่าเชื่อถือกว่าคนอื่น?

นั่นเพราะ แมตเป็น "หนึ่งในสอง" ของ Red Team ทีมที่ออกปฏิบัติการในคืนนั้น
ซึ่งคาดว่าเป็นคน "ลั่นไกปลิดชีพ" บิน ลาเดน บนชั้น 3 ของบ้านนั่นเอง

ไม่มีใครกล้ายืนยันว่า แท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ คือคนลั่นไก (ขนาดตัวแมตเอง ยังไม่กล้ายืนยันตัวเอง)

หนังสือ No Easy Day ฉบับแปลไทยโดยสำนักพิมพ์ Earnest เปิดให้สั่งจองแล้วทาง Facebook สำนักพิมพ์
ฉบับภาษาอังกฤษหาซื้อได้ตามร้านขายหนังสือต่างประเทศทั่วไป



แมธบอกว่า "เจน" คือทุกอย่างของภารกิจครั้งนี้
วงในของ CIA กล่าวว่า เจนเข้ามาเป็น CIA หลังเธอจบจากมหาวิทยาลัย และเข้าร่วมภารกิจแกะรอยบิน ลาเดน ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 9/11 ก่อน บารัคจะเข้ามาสานงานภารกิจต่อ

แมธกล่าวว่า เจนยังเคยแนะนำว่า "เป็นไปได้เธออยากจะทิ้งบอมบ์ใส่มากกว่า" ต้องมาพึ่งหน่วยซีลทั้งหลาย

หลังจาก Zero Dark Thirty เป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง นั่นทำให้เธอโด่งดังและเป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายจากเพื่อนร่วมงาน (เหล่า CIA) ว่าเธอน่ะเก่งกาจแค่ไหน แต่พวกนั้นอาจช็อคเมื่อได้รู้ว่า เธอปฏิเสธโบนัสมูลค่ามหาศาลที่ CIA จะมอบให้หลังภาารกิจบินลาเดน


"เราพบเธออีกครั้งตอนเรากลับฐานที่อัฟกานิสถาน เจนนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นเครื่องบิน เธอดูเหม่อลอยและมองออกไปในที่ที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคือที่ไหน ผมพยายามบอกให้เธอมั่นใจว่าภารกิจเราลุล่วงไปแล้ว  -- เสร็จสิ้น 100 เปอร์เซนต์ -- เธอพยักหน้า แล้วก็เริ่มต้นร้องไห้อีกครั้ง..."


ข้อมูลบางส่วนจาก :

Revealed: The real-life CIA spy in designer heels who caught Bin Laden - and then wept over his body
http://www.dailymail.co.uk/news/article-2247299/Zero-Dark-Thirty-The-CIA-spy-designer-heels-caught-Bin-Laden--wept-body.html
Bin Laden, Torture and Hollywood
http://www.nytimes.com/2012/12/09/opinion/sunday/bruni-bin-laden-torture-and-hollywood.html?pagewanted=2&_r=0
Code name Geronimo controversy
http://en.wikipedia.org/wiki/Operation_Geronimo_name_controversy
Behind the Hunt for Bin Laden
https://www.nytimes.com/2011/05/03/world/asia/03intel.html?_r=2
Inside Mark Boal’s and Kathryn Bigelow’s Mad Dash to Make Zero Dark Thirty
http://www.vulture.com/2012/12/mark-boal-kathryn-bigelow-on-zero-dark-thirty.html
Zero Dark Thirty
http://en.wikipedia.org/wiki/Zero_Dark_Thirty
CMRA32 นายร้อยจปร. : No Easy Day ปฏิบัติการสังหารโอซามา บิน ลาเดน
http://www.crma32.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&No=1454370
ไซเลนซ์แบล็กฮอว์ก ฮ.ไร้เสียงแหวกฟ้า ดับบินลาดิน
http://www.thairath.co.th/content/tech/169491


:: Re-up 03/02/2556
<

Zero Dark Thirty (2012), ยุทธการถล่มบินลาเดน





** เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ **




เมื่อมีข่าวว่า รัฐบาลปากีสถานห้ามกองถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง For God and Country ของผู้กำกับสาว Katheryn Begelow ใช้สถานที่ถ่ายทำในปากีสถานโดยเด็ดขาด กองถ่ายที่เริ่มไปได้ครึ่งๆกลางๆจึงต้องหันกลับมาตั้งหลักกันใหม่ โดยหันไปถ่ายทำใน ชายแดนอินเดีย ที่ติดกับปากีสถานแทน โดยจำลองตลาดแห่งหนึ่งในอินเดีย ให้มีสภาพเป็นอิสลามาบัด และ แอบบอตทาบัต ในเวลาเดียวกัน

ทำไมรัฐบาลปากีสถานถึงห้ามกองถ่าย For God And Country เข้าประเทศ? ก็เพราะกองถ่ายภาพยนตร์นี้ได้หยิบเอาปฏิบัติการปลิดชีพบิน ลาเดน ที่เหตุการณ์นั้นฉีกหน้ารัฐบาลปากีสถานเต็มๆมาทำเป็นหนังนั่นเอง ..

หลังจากประสบความสำเร็จ สร้างชื่อเสียงในฐานะ ผู้กำกับหญิงคนแรกที่ทำภาพยนตร์คว้าออสการ์ในสาขา ภาพยนต์ยอดเยี่ยมมาครอง จาก The Hurt Locker ในปี 2008 ชื่อของ แคธรีน บิเกโลว์ก็ดูเหมือนจะหอมหวานเป็นพิเศษ หลายคนจับตามองว่าเธอจะจับเรื่องอะไรมาทำเป็นหนังต่อ ปี 2012 เธอกลับมาพร้อมกับโปรเจคสุดยิ่งใหญ่เมื่อคิดหยิบแผนสังหาร บุคคนที่อันตรายที่สุดในโลก / บุคคลที่โลกต้องการตัวมากที่สุด อย่าง บิน ลาเดน มาทำเป็นหนัง

จาก For God and Country ชื่อแฝงในการถ่ายทำ ถูกเปลี่ยนเป็น Zero Dark Thirty ในที่สุด

Zero Dark Thirty เป็นเรื่องราวของ CIA สาวคนหนึ่งที่คลุกอยู่กับภารกิจล่าบิน ลาเดน มาเกือบ 10 ปีจนกระทั่งเธอทำสำเร็จในที่สุด เรื่องราวโดยย่อก็มีเท่านี้...

เมื่อคิดจะสร้างหนังที่คนทั้งโลกรู้ตอนจบอยู่แล้ว ความท้าทายคือ ทำอย่างไรให้คนดูสนใจเรื่องราวไปจนจบ

หนังเริ่มต้นที่ การเข้ามาของ CIA สาวในการสอบพยานคนสำคัญหลังเหตุการณ์ 9/11 แม้ในระยะแรกดูเหมือนเธอจะยังไม่ชินกับภาพการทรมานนักโทษเท่าไรนัก แต่เธอก็คุ้นเคยกับมันได้ไม่ยากเลย

การสืบหา ล่าตัว บินลาเดน เป็นไปอย่างยากลำบาก และ กินเวลานานถึงเกือบ 10 ปี เหตุเพราะพยานแต่ละคน จงรักภักดีต่อตัวหัวหน้า โอซามะ บินลาเดน เหลือเกิน CIA จึงได้ข้อมูลที่ผิดพลาด และ สะเปะสะปะอยู่หลายครั้งหลายหน จนทำให้ทีม CIA สูญเสียทั้งคน ทั้งเวลา

เมื่อสถานการณ์ความวุ่นวายของการก่อการร้ายยิ่งรุนแรง มีระเบิดพลีชีพรายวันในเมืองสำคัญทั่วโลก CIA จึงยิ่งกดดันอย่างหนัก ในที่สุดเหมือนสวรรค์มาโปรด เมื่อหลักฐานชิ้นสำคัญถูกค้นพบ รูปถ่ายใบเดียว ทำให้เหล่า CIA สามารถหาที่ซ่อนบินลาเดน พบ และ ปฏิบัติการ "ปลิดชีพ" สำคัญในที่สุด


หาก The Hurt Locker หนังที่เล่าเรื่องของทหารอเมริกันในหน่วยกู้ระเบิดในอิรัก สุดเนิบนาบ แต่แปลกใหม่ ชวนระทึก จนถึงขั้นคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของเวทีแห่งเกียรติยศมาได้ Zero Dark Thirty คงมีโอกาสดีมากกว่านั้น เพราะนี่คือหนังที่ เชิดชู เกียรติยศคนอเมริกัน กับการแก้แค้นครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา..

ที่สุดท้ายจบลงที่ความตายของ "ชายที่อันตรายที่สุดในโลก" ตามที่พวกเขากล่าวอ้าง

หนังอิมแพคแรงๆแบบนี้ บิเกโลว์ ไม่เสียเวลาคิดกับการเลือกตัวนักแสดง นักแสดงจะต้อง "ไม่เด่น" เกินหนังเธอ
นักแสดงแถวหน้าระดับ A-List ของฮอลลีวูดจึงถูกตัดทิ้งไปแบบไม่ต้องคิด นักแสดงที่ถูกเลือกมาจึงอยู่ในระดับ B จนเกือบ C ในแง่ของความนิยม ... แต่ไม่ใช่ แง่ของฝีมือการแสดงแน่นอน

ทำไมถึงต้องเป็น เจสสิก้า เชสเทน
แน่นอน เพราะว่า เธอกำลังฮอตในสายอินดี้ มองไปมองมา แคแรคเตอร์เธอก็โอเคพอดี กับ บท CIA สาวผิวซีด หัวแดง ชอบทำหน้าซังกะตาย

นักแสดงคนอื่นๆ แม้จะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ใครดูหนังทหารอยู่บ่อยๆคงตะหงิดๆ เหมือนจะรู้จักอยู่ 3-4 คนเพราะคุ้นๆกันมาแล้ว แม้จะไม่รู้จักชื่อเต็มๆแบบเรียกชื่อถูกก็ตามที

และ บิเกโลว์ก็คิดถูกจริงๆ ไม่มีนักแสดงคนไหนที่เด่นเกินหนังเธอเลย ใครจะว่า เชสเทนแบกหนังไว้ทั้งเรื่องก็เถอะ ก็โดยพลอตเรื่องมันเป็นเช่นนั้น และความเป็นจริงมันก็เป็นเช่นนั้น แต่หาก สะระตะกันดีๆ "หนัง" ของบิเกโลว์ต่างหากที่โดดเด่น

ตั้งแต่การเลือกพลอต เลือกวิธีเล่าเรื่อง การถ่ายทำ ตัดต่อ ที่แทบไม่ตัดสลับไปที่อื่น เล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครเดียว การเลือกชื่อเรื่อง การเลือกจุดพีคสุดใน 10 นาทีสุดท้าย

ถ้า The Hurt Locker เป็นพาเราลงเรือล่องอยู่กลางมหาสมุทร ที่เดียวโคลงไป เคลงมา บ้างเจอคลื่น พายุ แต่อยู่ดีๆ แดดก็ออก คลื่นลมก็นิ่ง ปล่อยให้เราลอยเท้งเต้งน่าเบื่อไปเรื่อยๆ เพื่อรอคลื่นลูกต่อไป ความระทึกใจก็กลับมา นั่นคือ อารมณ์ทั้งหมดของหนังที่ได้ออสการ์ในปี 2008

แต่ Zero Dark Thirty กำลังพาเราเดินขึ้นบันไดทีละก้าว เราค่อยๆก้าวไปเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าเรากำลังตามหาอะไร และเราอยากรู้ ยิ่งอยากรู้ เราก็ยิ่งเดินเร็วขึ้น ยิ่งก้าวสูงขึ้น มันก็ยิ่งชัน เรารีบเร่ง ร้อนรน สุดท้าย ไม่รู้ว่าบันไดหายไปตอนไหน แล้วเราก็หล่นลงมา ... นั่นคือ อารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นตอนที่หนังพาเราเข้าสู่องก์สุดท้ายคือ การ "ปลิดชีพ"

ความเป็นหนังที่เร่งร้อน ลุ้นระทึกได้จบลงแล้ว 10 นาทีสุดท้ายของเรื่องคือ ภาพเหตุการณ์จริง ที่ถูกใส่เพิ่มเติมเข้ามาแทน

บิเกโลว์ เล่นล้อ กับ "ภาพจริง" ได้อย่างน่าหวาดกลัว

นี่เป็นอีกเหตุผลที่นักวิจารณ์หลายสำนัก "ยกให้" หนังเรื่องนี้คือหนังที่ "ยอดเยี่ยมที่สุด" ในปี 2012
ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลความใกล้ชิดส่วนตัว(สำหรับอเมริกันชน) หรือ การเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยมก็ตามที

แต่ สำหรับคนนอกอย่างเราๆ คงได้แต่เสพย์เอาเพื่อความบันเทิงด้านภาพยนต์จริงๆ เพราะไม่ได้มีส่วนได้ ส่วนเสีย หรือ บุญคุณ ความแค้นอะไรเท่าเหล่า อเมริกันชน นัก

ความฉลาดของ บิเกโลว์ คือ การใส่ "น้ำตา" ของ มายาเข้ามาในฉากจบ
ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า "หญิงแกร่ง" อย่างมายา ที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามากมาย
"ร้องไห้ทำไม?"

ในความเป็นจริงจากหนังสือ No Easy Day ของ แมต บิซซอนเนสต์
จากปากคำของแมต
เจน ไม่ได้บอกว่า ร้องไห้เรื่องอะไร เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้ว่าเจนร้องไห้ทำไม
เรารู้แค่ว่าเธอร้องไห้ เวลาเจอเหตุการณ์ที่น่ากลัว

แต่ในฉบับหนัง บิเกโลว์ เลือกช่วงเวลา การร้องไห้ของเจน เพื่อสื่อความหลายๆอย่าง
ซึ่งการเลือกเวลาเช่นนั้น ทำให้คนดูได้ตีความในหลายแง่
สำหรับเราถือว่า ฉลาดเลือก
ซึ่งหมายความว่า เจน หรือ มายา จะคิดยังไง ขึ้นอยู่กับ "คนดู"
ต้องเป็นผู้ตีความ หนังมีคำตอบให้อยู่แล้ว และ คุณต้องเป็นผู้ตามหามันเอง ...

8.5/10


:: Re-up 04/02/2556
<

ความเห็นหลังชม :: Silver Lining Playbook




ออกตัวว่านี่เป็นหนังโนเนมมากสำหรับเรา
ไม่เคยคิดดูมาก่อน
และเชื่อว่าหลายคนที่รู้จักก็เพราะ เป็นหนัง เจ.ลอว์เลนซ์ หรือไม่ก็ มันเป็นหนังของ เดวิด โอ รัซเซล


จนกระทั่งมันมาชิงออสการ์ 8 สาขาในปีนี้

รางวัลใหญ่สุด คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
แบรดลีย์ คูเปอร์ กับการชิงรางวัลดารานำชาย
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับการชิงรางวัลดารานำหญิง
เดวิด โอ รัซเซล กับรางวัลผู้กำกับ/เขียนบทยอดเยี่ยม
โรเบิร์ต เดอ นิโร กับรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม
แจคกี้ วีฟเวอร์ กับสมทบหญิงยอดเยี่ยม

หนังฟอร์มธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง ทำได้ขนาดนี้ได้อย่างไร (แม้จะแค่เข้าชิงก็ตาม)

หลังจากดูจบแล้วเราถึงเข้าใจ และ ทึ่ง

หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการแสดงที่พีคขั้นสุด
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความลุ่มลึกของบทประพันธ์มากมายอะไรนัก
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีดราม่าหนักหน่วงชวนอึดอัด
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากบีบน้ำตาอะไรเลย
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการตีความซับซ้อน สะท้อนสภาพสังคม หรือ ล้วงลึกจิตวิญาณ อันน่าค้นหา

กลับกันหนังเต็มไปด้วยความโกลาหล วุ่นวาย อเมริกันจ๋า
และ เป็นหนังโรแมนติคที่ฮอลลีวูดสไตล์มากอีกเรื่องหนึ่ง
แต่วิธีการดำเนินเรื่องนั้น แยบยล มาก
มันเป็นหนังที่ หากคุณไปเทียบกับ หนังที่เข้าชิงออสการ์ปีนี้คุณอาจจะรู้สึกว่า "เห้ย ไม่น่าเป็นไปได้นะ"
และอาจบอกว่า "หนังแบบนี้มาชิงออสการ์ได้ยังไง?"

พลอตมีอยู่ว่า ครูคนหนึ่งสติหลุดหลังพบว่าภรรยานอกใจ เขาไปบำบัดอยู่นาน
จนออกมาพบเจอกับหญิงสาวบุคลิกแตกต่างคนหนึ่ง ทั้งคู่ต่างมีบาดแผลจิตใจกันทั้งคู่
พวกเขาเลยช่วยกันรักษาแผล ซึ่งกันและกัน

พลอตน้ำเน่า เนื้อเรื่องก็น้ำเน่า แต่เนื้อหากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ทุกตัวละครจะ
พูด พูด พูด พูด สิ่งที่ตัวเองคิด
ทำ ทำ ทำ ทำ สิ่งที่ตัวเองอยากทำ
เมื่อความโกลาหลเกิดขึ้น จะตามมาด้วยความโกลาหลยิ่งกว่า
ที่แม้คุณจะรำคาณ แต่คุณจะอยากรู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน

ตัวละครทั้ง 4 ตัว ทั้งแบรดลีย์,เจน ลอว์เลนซ์,โรเบิร์ต และ แจ็คกี้
อาจเป็นตัวละครที่ธรรมดาสุดๆ
แต่กลับกัน ความธรรมดาสุดๆนั้นเองที่ทำให้มันกลายเป็นความ เหมาะสมลงตัว
ตอนเราเห็น แบรดลี่ย์ คูเปอร์ในหนัง เราคิดว่า มีคนที่เหมาะสมกับบทแบบนี้มากกว่า
อย่าง คีนูรีฟก็โอเค ยวนแม็คเกรเกอร์ก็ได้
แต่พอดูไปเรื่อยๆถึงรู้ว่าไม่ได้ ต้องเป็น แบรดลี่ย์ คูเปอร์ เท่านั้น
ทุกอย่างใน Silver Lining Playbook หรือ คู่มือฟ้าหลังฝนอันสดใส มันช่างดูธรรมดา
แม้ตัวละครและพลอต จะแอ๊บนอร์มอลมากๆก็ตาม
กลับกัน มันเป็นการแอ๊บนอร์มอลที่ ธรรมชาติสุดๆ

สำหรับ เจ ลอว์เรนซ์ เราเฉยๆกับเธอมาตลอด แต่พอดูจบ
ทำให้เราคิดไปถึง เจสสิกา เชสเทน ขึ้นมาทันที
หาก เจสสิกา เชสเทน แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ... เธอแค่ปล่อยให้หนังพลิ้วผ่านเธอไป
และเธอก็เวียนว่ายกับมันด้วยความสุขสม แค่นั้นเอง
ใช่.. มันคือ ความสุขสม

10 นาทีแรกตอนดู เราคิดไว้ว่าจะนิยามหนังเรื่องนี้เป็น คอกเทล สักแก้ว
(และไม่น่าเชื่อที่มันบังเอิญไปลิงค์กับเรื่องราวในหนังด้วย)
หลังจากดูจบ ด้วยอาการสะอึก ก็ยังคงคิดเหมือนเดิม

Silver Lining Playbook เหมือน Vodka Lime Soda
ขื่นขม อย่างรวดร้าว แบบ Vodka
เริ่งร่า พร่าพราย แบบ Soda
เปรี้ยวซ่า แบบ Lime

เข้าฉายในไทยเดือนหน้า จะกลับมารีวิวอีกรอบ
เพราะฉบับภาษาอังกฤษยังมีประโยคที่ไม่เกทอยู่พอควร
(เพราะทุกคนพูดกันเร็วมาก เหมือนกินยา Limitless กันมา)

หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จ ในรางวัลใหญ่สักรางวัลนึง
คิดแบบนั้นจริงๆ



:: Re-up 25/01/2556
<

ความเห็นหลังชม :: Zero Dark Thirty (2013)

ความเห็นหลังชม Zero Dark Thirty

***เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ***

Zero Dark Thirty เป็นหนังสงคราม และ หนังปฏิบัติการณ์ที่สนุกมากเรื่องหนึ่ง
แต่เรากลับรู้สึกว่ามันสนุกแบบแมสๆมากเลย หรือเป็นเพราะมีการเล่าเรื่องที่ "สมบูรณ์แบบ" เกินไป แบบที่เราดูตามแล้วไม่ต้องคิดอะไรต่อ แค่ติดตามเรื่องราวในหนังไปก็พอ ไม่มีการคิดย้อนกลับอะไรทั้งสิ้น
(มาร์ค โบลให้สัมภาษณ์เอง ว่าเขาไม่ชอบตัวละครที่มีปูมหลัง เขาเลยเลือกเล่าเรื่้อง "ปัจจุบัน" ของทุกคนแทน)

นั่นทำให้เรากลับชอบงานเนิบๆเบื่อๆแบบ The Hurt Locker ของเธอมากกว่า
และชอบ เฉิ่มๆเชยๆเบื่อๆยืดยาด แบบ Argo มากกว่า เพราะเรารู้สึกสมจริงกับเรื่องที่มัน น่าเบื่อบ้าง ลุ้นบ้าง สนุึกบ้าง เครียดบ้าง มากกว่า (Argo นีพอเข้าช่วงเบื่อก็ น่าเบื่อจริงๆ 555)

สิ่งที่ชอบใน Zero Dark Thirty

คือไอเดียของ บิเกโลว์ในการเลือกหยิบ No Easy Day ที่โดยเนื้อหาหนังสือมีตัวละครเจ๋งๆแบบ CIA สาวเตรียมรอให้บิเกโลว์และมาร์คไปตะครุบไว้อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้ Zero Dark Thirty มันเจ๋งเป็นบ้า..

งานภาพ .. คือสิ่งที่มองหาเป็นอันดับ 2 สำหรับ ZDT

ตอนดู Contagion ของ โซเดอร์เบิร์ก เราประทับใจกับงานภาพถึงขั้นอยากก้มกราบ *เว่อร์*
โซเดอร์เบิร์กเลือกตั้งกล้องเหมือนละครทีวี คือ กล้องนิ่งอยู่กับที่ แล้วตัวละครจะเดินเข้ามาอยู่ในมุมที่ โคตรเพอร์เฟคเอง (ใน Magic Mike ก็เช่นกัน)

แต่สำหรับหนังสงครามของบิเกโลว์ เธอเองก็มีสเน่ห์ของเธอ ด้วยการถ่ายผ่าน Foreground (หลาย scene หลาย shot) ที่มีให้เห็นเกือบตลอดทั้งเรื่อง จุดที่เรามาตายจริงๆ สำหรับงานภาพของ บิเกโลว์ที่ทำให้เราคิดถึง โซเดอร์เบิร์กสุดๆ คือ ภาพ มายา หลังจอคอมพิวเตอร์

รู้สึกเหมือนตัวเองนั่งอยู่กับมายาขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย..







ช่วงที่อึดอัดของเรา แบบที่ใจเต้นตุบๆจริงๆ คือ ตอนที่ซีลนั่งอยู่บนฮ.ตอนไปปฏิบัติการ
เราไม่เคยอ่าน No Easy Day (แบบแปลไทยกำลังจะมาในเร็วๆนี้ สำนักพิมพ์ Earnest หยิบมาแปล)
แต่เราเคยอ่านเรื่องราวทำนองเดียวกันนั่นคือ Not A Good Day To Die ที่เล่าถึงปฏิบัติการณ์ อนาคอนดา
ในปี 2002 ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ที่ "ล้มเหลว" ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในการล่าบิน ลาเดน (เพราะทหารตายเยอะมาก)

ช่วงที่เครียดที่สุดคือ ภาวะจิตใจของทหารก่อนประตูเครื่องเปิด ..

สำหรับช่วงเจ๋งที่สุดของหนัง คงหนีไม่พ้น ช่วง zero dark thirty ตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ ให้ความรู้สึกสมจริงมาก
แทบจะต้องนับวินาที ต่อ วินาทีกันเลยทีเดียว (ตรงนี้เราชอบมากกว่า ช่วงลุ้นขี้ปริบของ Argo เยอะเลย) เพราะช่วงนี้ดูจริงมากๆ

แต่สำหรับการเล่าเรื่องโดยรวม เรายังคงชอบการถ่ายทอด Bese On Real Event แบบ Argo ของ Ben Affeck มากกว่าค่ะ

แล้วแต่คนชอบเนอะ ..

:: Re-up 19/01/2556
<

มาดูหนัง/ละคร สงครามของเกาหลีกันแล้วคุณจะเข้าใจทำไมเขาต้อง "ชาตินิยม"

ระยะนี้ทำงานค่อนข้างเยอะ
จากที่ปกติเมื่อก่อนต้องดูซีรี่ย์เกือบทุกเรื่อง คือดูตามเวปปกตินั่นแหละ ดูทุกอาทิตย์
พองานเยอะก็ไม่ได้ดู นึกได้อีกทีก็ ..จบไปหลายเรื่องแล้ว
มีโอกาสเลยมานั่งเคลียร์ละครที่ดูค้างๆไว้
เราเป็นคนแปลกๆอย่างหนึ่ง ที่บางทีก็รู้สึกรำคาณตัวเองเหมือนกันคือ
ขี้สงสัยมาก..
ดู ผ้าทอ...ชีวิต ที่เป็นซีรีย์จีน ก็สงสัยเรื่องลำดับขั้นราชวงศ์ มองโกลยึดแล้วไงต่อ เรื่องสงครามทำไมไม่พูดถึง
แล้วราชวงศ์นั้นนี่ล่ะ บลา บลา บลา
(ไว้จะเขียนเรื่องผ้าทอ...ชีวิต พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์แบบที่เราไปค้นหามาแล้วให้ฟัง)
เป็นอย่างนี้มาหลายเรื่อง
หากเรื่องไหนที่มันเชิงประวัติศาสตร์ พอดูเสร็จก็ต้องรีบไปหาหนังสือมาอ่านประกอบ
กับหนังก็เหมือนกัน..

มาถึง Bridal Mask ... ซีรี่ย์เกาหลีเชิงสืบสวน ที่มีพื้นหลังเป็นยุคที่เกาหลีถูกปกครองโดยญี่ปุ่น
เราชอบจูวอนพอสมควรตอนดู Ojakgyo Brothers รู้สึกว่านักแสดงคนนี้แสดงดีนะ
แต่พอดู Bridal Mask จบ ก็ชอบมากถึงขั้นต้องไปเขียนอวยชัยเถลิงยศกันเลยทีเดียว




Bridal Mask หรือ หน้ากากเจ้าสาว เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มลึกลับคนหนึ่งที่จะใส่หน้ากากเจ้าสาว
ออกช่วยเหลือ ประชาชนชาวเกาหลีที่โดนทหาร/ตำรวจญี่ปุ่นรังแก

ซึ่งตัวเอกอย่าง "ลีคังโท" (จูวอน) เป็นชาวเกาหลีที่หันไปสวามิภักดิ์กับองค์จักพรรดิญี่ปุ่น
โดยเป็นนายตำรวจประจำอยู่ที่สถานีจองโรใน คยองซอง*
และยังทำร้ายประชาชนชาวเกาหลี ทำให้ชาวเกาหลีเกลียดชังลีคังโท และเรียกขานเขาว่า "หนทางสู่นรก"

*คยองซอง - หรือ กรุงโซล ในปัจจุบัน คยองซองเป็นชื่อที่ใช้เรียกกรุงโซล ตอนถูกยึดเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น



Bridal Mask อาจเป็นละครที่ช่วยสร้างความหึกเฮิมให้กับประชาชนชาวเกาหลีได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่าหลายๆฉากพยายามเน้นเรื่องการต่อสู้ของประชาชนชาวเกาหลีกับ รัฐบาลญี่ปุ่น
ในละคร*มีการชี้ให้เห็นว่า ประชาชนชาวเกาหลีถูกรัฐบาลญี่ปุ่นทำร้าย รังแก อย่างเหี้ยมโหดมากมายเพียงใด

*ละคร Birdal Mask - ออกมาหลังกรณีพิพาทที่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในกรณี เกาะด๊อดโด ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในเกาะดังกล่าว
จนทำให้วงการบันเทิงเกาหลี ญี่ปุ่น ค่อนข้างตึงเครียดอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะนักแสดงหลายคนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าวด้วย


กว่าเกาหลีจะสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้ได้ เกาหลีผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งการตกเป็นอาณานิคม
ความอ่อนแอของกองทัพ และราชวงศ์ การถูกช่วงชิงสมบัติ ไร่นา ที่ดิน กระทั่งการดูถูกความเป็นมนุษย์ ความยิ่งใหญ่ของกระแสวัฒนธรรมเกาหลีในปัจจุบันจึงอาจเรียกว่าเป็นการ "ชำระแค้น" ก็เป็นได้...


จึงจะเห็นได้ว่า ในช่วงแรกที่ละครเกาหลีกำลังเป็นที่นิยม ละครประเภท พีเรียด-สงครามเกาหลียุคโบราณ
เป็นที่นิยมมาก ทั้งในประเทศ และนอกประเทศ

ส่วนหนึ่ง เพราะหากเป็นช่วงสงครามยุคใหม่ เกาหลีแทบไม่สามารถหยิบอะไรมาสร้างเรื่องราวได้เลย
เพราะเกาหลีมักตกเป็นอาณานิคมเสมอ

แต่หากย้อนไปยังเกาหลียุคโบราณ สมัยรวมแผ่นดิน ยังมีการสู้รบของเผ่าต่างๆ
ทำให้เกาหลีสามารถสร้างสรรค์เรื่องราวความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ตนเองได้ไม่ สิ้นสุด
ขณะที่ในปัจจุบัน* ไม่สามารถทำได้




*ซีรี่ย์ Goong
- เป็นเรื่องราวสมมุติ หากเกาหลียังมีระบบราชวงศ์อยู่ จะส่งผลอย่างไรกับการเมืองและประเทศบ้าง
นอกจากเรื่องราวความรัก (ที่เป็นพลอตหลักของเรื่อง)
ยังมีเรื่องของการช่วงชิงบัลลังก์และเรื่องที่ ราชวงศ์มักผูกติดอยู่กับอำนาจทางการเมือง (ที่เป็นเหมือนกันทั้งโลก)

ปัจจุบันมีการฟื้นฟูราชวงศ์เกาหลีขึ้นมา แต่เป็นเพียงเส้นสายราชวงศ์กลุ่มเล็กๆ
ที่ไม่มีบทบาททางการเมือง เพราะเกาหลีมีระบบประธานาธิบดีอยู่แล้ว





Bridal Mask กล้าที่นำเสนอมุมมองอันเลวร้าย ขณะที่ญี่ปุ่น*ปกครอง เกาหลี
ขณะที่ละครหลายๆเรื่องก็ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องราวในประเด็นอ่อนไหวเช่นนี้นัก ในปัจจุบัน
(เพราะปัจจุบันเกาหลีเองก็พยายามเข้าไปทำศึกเศรษฐกิจในญี่ปุ่น
แบบที่เรียกว่า อยากยึดญี่ปุ่นเป็น อาณานิคม ตัวเองเหมือนสมัยสงครามโลก)





*คอหนังสือคงไม่มีใครไม่รู้จัก -  "หลั่งเลือดที่นานกิง"
เพราะเป็นหนึ่งหนังสือที่เกี่ยวกับสงคราม ที่ "ควรอ่าน" อย่างยิ่งยวด
โดย "หลั่งเลือดที่นานกิง" เป็นเรื่องราวตอนที่ญี่ปุ่นบุกเข้าไปทำสงครามในจีน
ซึ่งเหตุการณ์วิปโยคนั้นเกิดที่เมืองนานกิงนั่นเอง


Timeline สงครามและการเมืองของญี่ปุ่น ใน Bridal Mask เป็นของจริง
ในเรื่องมีการพูดถึงการเกณฑ์สาวเกาหลีไปเป็น ทาสโสเภณีให้กับทหารญี่ปุ่นที่ออกรบอยู่
หรือการเกณฑ์หนุ่มสาวไปออกรบในสงครามที่ญี่ปุ่นพยายามบุกไปยังทวีปต่างๆ
รวมไปถึงกระทั่ง การสั่งห้ามใช้/พูด/เขียนภาษาเกาหลี และยังมีการบังคับใช้ชื่อญี่ปุ่นในชาวเกาหลีด้วย

เหตุการณ์ใน Bridal Mask ก็คือตอนที่ ญี่ปุ่น กำลังบุกจีน ยึด นานกิง นั่นเอง

ใน Bridal Mask มีการเปรียบเทียบไปถึงการลุกฮือของประชาชนในปี 1919 หลังจากที่ พระเจ้าโกจงสวรรคต
โดยเชื่อว่าเป็นการถูกลอบวางยาพิษ ซึ่งในครั้งนั้นประชาชนชาวเกาหลีได้ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลญี่ปุ่น
ทำให้ถูกรัฐบาลญี่ปุ่นปราบปรามอย่างรุนแรง ครั้งนั้นมีประชาชนชาวเกาหลีเสียชีวิตไป 7,000 คน




ประโยคหนึ่งใน Bridal Mask กล่าวว่า

"...เกาหลีเป็นชนชาติที่อ่อนแอ ต้องคอยให้คนอื่นปกป้องตลอดเวลา.."

หมายถึง ก่อนหน้านี้ เกาหลีก็อยู่ภายใต้การปกครองของจีน จนมาถูกญี่ปุ่นยึดในปี 1910
ซึ่งในสมัยรวมแผ่นดิน เกาหลีก็เคยถูกญี่ปุ่นบุกมาก่อนแล้วเช่นกัน ในยุคโจรสลัด

(ก่อนญี่ปุ่นจะเข้าครองเกาหลีได้เบ็ดเสร็จ ก็หลังจากที่พระราชาองค์สุดท้ายสวรรคตแล้ว
โดยก่อนหน้านี้กษัตริย์เกาหลีได้พยายามขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ แต่ไม่มีใครสนใจประเทศเล็กๆแบบเกาหลีเลย)

เกาหลี ถูกญี่ปุ่นปกครองอยู่ถึง 30 ปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะถูกประกาศให้พ่ายสงครามโลก
แต่ เกาหลี ก็ยังไม่สงบ เพราะหลังจากญี่ปุ่นพ่ายสงครามโลก เกาหลีก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ เหนือและใต้ ...
ตามมาด้วยสงครามสุดยิ่งใหญ่อีกครึ่งหนึ่งของโลก คือ "สงครามเกาหลี"
(เป็นสงครามที่คำว่า "สงครามตัวแทน" ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน)




การแบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ส่วนในสงครามเกาหลี


ย้อนกลับไปตอนที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครอง ตอนนั้น สตาลิน ของโซเวียต
มีความต้องการอยากยึดเกาหลีและแมนจูเรียอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พออเมริกาทิ้งบอมบ์ที่ฮิโรชิม่า
ทำให้ญี่ปุ่นพ่ายสงคราม โซเวียตจึงเข้ายึดดินแดนเกาหลีฝั่งทางเหนือ
แต่ถูกอเมริกันปราม เพราะเกรงว่าโซเวียตจะแพร่ขยายดินแดนและความเป็นคอมมิวนิสต์มากจนเกินไป
จึงประกาศให้แบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ส่วนคือ เหนือ และ ใต้

โดยฝั่งเหนือนั้นจะอยู่เหนือเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ... โซเวียตจึงได้เข้ายึดเกาหลีเหนือ
(เดิมเกาหลีเป็นแผ่นดินเดียวกัน มีเมืองหลวงอยู่ที่โซล
พอแยกตัว เมืองหลวงของเกาหลีเหนือจึงเปลี่ยนเป็น เปียงยาง)

การเมืองของทางรัฐบาลฝั่งเหนือ ดูจะเข้มแข็งกว่าฝ่ายใต้
เพราะเป็นคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์และยังมีโซเวียตหนุนหลัง
ขณะที่ฝ่ายใต้แตกแยกเป็นหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ กลุ่มประชาธิปไตย และกลุ่มคอมมิวนิสต์
โดยฝ่ายใต้มีอเมริกาหนุนหลังอยู่เงียบๆ

ฝ่ายเหนือเคยบุกลงมายึดกรุงโซลได้ครึ่งหนึ่ง และอเมริกาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือฝ่ายใต้
โดยการขับไล่ฝ่ายเหนือกลับไปยัง เหนือเขตขนานที่ 38 จนได้
ทั้งเหนือและใต้รบพุ่งกันตลอดเวลา จนกระทั่งในปี 1997 ฝ่ายใต้ขอเจรจารวมประเทศ
แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายเหนือ ทำให้เหนือและใต้ยังคงเป็นศัตรูกันมาจนถึงปัจจุบัน ...




หากใครมีโอกาสได้ดูมหากาพย์ภาพยนต์เกาหลี "เทกึกกี... เลือดเนื้อ เพื่อฝัน วันสิ้นสงคราม"
ที่เข้าฉายเมื่อปี 2004 นั่นก็พอจะทำให้เราได้เห็นบรรยากาศของสงครามเกาหลีได้ส่วนหนึ่ง
เทกึกกีเป็นภาพยนต์รำลึกในวาระครบรอบ 50 ปีสงครามเกาหลี
"เทกึกกี" หมายถึง ธงชาติเกาหลี โดยคำนี้ใช้มาตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามเกาหลี
จนกระทั่งมีการแยกประเทศ เทกึกกี จึงกลายเป็น คำเรียกธงชาติเกาหลีใต้

เทกึกกี เป็นเรื่องราวของ 2 พี่น้อง จินซก (วอนบิน) และ จินแท (จางดองกัน)
ที่ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามอย่างไม่ตั้งใจ
จินซกเป็นเด็กเรียนดี เป็นความหวังของครอบครัว
จินแทเป็นคนแข็งแรง มุมานะ เขาเปิดร้านซ่อมรองเท้าและมีคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกัน ...



จนวันหนึ่ง เมื่อเกิดสงครามเกาหลี จินซกถูกเกณฑ์ไปรบ จินแทอยากช่วยเหลือน้อง
จึงวิ่งไปตามจินซกตอนจินซกจะไปขึ้นรถไฟ ด้วยหวังอยากให้น้องกลับบ้าน
จึงหลงเชื่อข่าวลือที่ได้ยินมาว่า หากได้เหรียญหล้าหาญ จะทำให้จินซกกลับบ้านได้
จินแท จึงต้องเข้าร่วมเป็นทหารในกองรบโดยปริยาย (บ้านหนึ่งจะต้องส่งตัวแทนไปรบเพียง 1 คน)

จินแท รบแบบเสี่ยงอันตรายตลอดเวลา เพราะอยากได้เหรียญกล้าหาญ อยากให้น้องได้กลับบ้านเร็วๆ
แต่ด้วยความมุทะลุของจินแทนั้นเอง ทำให้เรื่องราวพลิกผัน จินแทหายสาปสูญ ...
จินซกตามหาพี่ชาย ... เมื่อได้พบพี่ชายอีกครั้ง ... จินแทพยายามฆ่าจินซก ...
จินซกจึงรู้ว่า พี่ชายของเขา จินแท กลายเป็นทหารฝ่ายเหนือไปแล้ว ...




เรื่องนี้เศร้ามาก และดีมากๆ ค่ะ ต้นเรื่องจะบรรยายให้เราเห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ได้ดีนักของชาวเกาหลี
เพราะพึ่งปลดแอกจากญี่ปุ่นมา แต่ประชาชนชาวเกาหลีทุกคนก็มีความสุข เพราะไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร
จินแท และจินซก รักกันมาก จนกระทั่งถูกเกณฑ์ไปรบ ตอนนี้จะมีมีทั้งเรื่องความรักของพี่น้อง
และ ความรักของหนุ่มสาว คือ ของจินแทและแฟนสาว (เศร้ามาก TT)
มีการเล่าถึงตอนที่ทหารมาเกณฑ์คนแต่ละบ้านไปรบ ตอนนี้เราจะได้เห็นถึง สภาพบ้านเมือง
ที่กลับกลายเป็นเมืองร้างอีกครั้ง เรื่องนี้มีตอนจบที่ดีมาก
เป็นอีกเรื่องที่ฉบับหนังสือและหนังทำได้ดีพอๆกัน แนะนำให้อ่าน/ชม เลยค่ะ






กับอีกเรื่อง ที่นำเอาบันทึกเล็กๆของ นักเรียนนักเลง ที่ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามเกาหลี
ทีแรกพวกเขาก็ยังทำตัวแบบนักเลงอยู่ จนกระทั่งรู้ว่า ถึงเวลาต้องรบจริงๆ
พวกเขาจึงต้องรวมพลังกัน ใน 71 : Into The Fire นั่นเอง

เป็นอีกเรื่องที่โด่งดัง และ พูดถึงในวงกว้าง
ส่วนหนึ่งเพราะเป็นการดึงเอาไอดอลเกาหลีชื่อดังอย่าง T.O.P วง BIG BANG
มารับบทนำในภาพยนต์เป็นครั้งแรก ประกบคู่กับ ควอนซังวู ร่วมด้วย ชาซึงวอน และ คิมซึงวู



71 : Into The Fire เป็นเรื่องของนักเรียนเกาหลี 71 คนที่เป็นนักเรียนนักเลง
นถูกพาไปรบในสงครามเกาหลี โดยพวกเขาถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่โรงเรียนหญิงล้วนโพฮังดง
ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานรบของฝ่ายใต้ โดยที่ฐานรบนี้มีภารกิจคือ ป้องกันสะพานไม่ให้ พวกฝ่ายเหนือ ข้ามสะพานมาได้

เรื่องนี้ คอวนซังวู แสดงดีมากจนน่าตบค่ะ ส่วนท๊อปของเราเล่นเป็นบทเด็กหน่อมแน้ม น่าร้ากกก
ส่วนชาซึงวอนเล่นเป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือค่ะ ตอนแรกเราไม่ได้อยากดูเรื่องนี้
เพราะท๊อปมันเล่นเนี่ยแหละ คือมีความรู้สึกว่าการเอาไอดอลไปเล่นหนังมันจะออกมาไม่ดีไงไม่รู้ เลยไม่อยากดู



แต่ช่วงนั้น บังเอิญว่างงาน เลยเปิดดู โห ... ถือว่าพลาดจริงๆถ้าไม่ได้ดู เพราะมันดีมากๆ อิ่มเอมมากๆ
แทกึกกี นั้นซึ้งโดยเนื้อหาแล้ว เราว่าเทียบกับ Into the fire ไม่ได้ในแง่ของ "พลัง" ของนักแสดงค่ะ
ทุกอย่ามันลงตัวไปหมด ไปจนกระทั่งจุดพีคของเรื่อง คือฉากต่อสู้บนหลังคา
(ที่อิท๊อปมันชอบเอามาโม้ออกรายการบ่อยๆนั่นแหละ)

Into The Fire สร้างจากเรื่องจริง ของนักเรียนเกาหลี 71 คนที่สามารถเอาชนะทหารเกาหลีเหนือ
และสามารถปกป้องสะพานที่ป้อมโพฮังดงไว้ได้ โดยความฉกาจฉกรรจ์ของทหารเยาวชนกลุ่มนี้คือ
ด้วยนักเรียนที่ไม่มีทักษะการรบใดๆมาก่อนเลย สามารถเอาชนะทหารเกาหลีเหนือกว่า 100 คนได้



อาจจะเริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้วใช่มั้ยคะ ว่าทำไมเกาหลีถึงชาตินิยม
และพยายามนำชาติตัวเองสู่ความยิ่งใหญ่แบบมหากาพย์ขนาดนี้

บทความนี้เขียนด้วยมุมมองที่ไม่รอบด้านนัก หากมีใครอยากเสนอแนะข้อมูลเชิญได้เลยค่ะ

หวังว่าบทความนี้คงให้ความรู้กับทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ (แน่ล่ะ ไม่มากก็ต้องน้อยสิ )
มันจะมีบางจุดที่เราอ่านๆแล้วรู้สึกเหมือนมันขาดๆหายๆไป ก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้จ้า ..

:: Re-up 16/01/2556
<

The Thieves (2012), คนหักโจร





The Thieves ว่าด้วยเรื่องราวของโจรทั้ง 10 คน ที่มารวมตัวกันในรอบหลายปี เพื่อภารกิจชิงโคตรเพชรมูลค่ามหาศาล

แม้พลอตจะดูดาดๆไปสักหน่อย แบบที่เห็นแล้วพอรู้ได้ว่าตอนจบมันจะต้องเป็นอย่างไร ด้วยโทนหนังที่มาแนวแก๊งนักตุ๋นแล้ว หนังเรื่องนี้คงเป็นหนังบันเทิงที่ดูได้เพลินๆอีกเรื่องหนึ่ง แบบไม่ต้องซีเรียสจริงจังอะไรมาก

แต่ก่อนอื่น สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูแล้วรีบตัดสินว่านี่คือ แก๊ง Ocean ของเอเชียล่ะก็..
...คิดใหม่ได้เลย..

การรวมตัวกันเฉพาะิกิจของเหล่าโจรมืออาชีพระดับท๊อปของวงการ เพื่อชิงโคตรเพชรในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่คนเกาหลีสัญชาติเดียว แต่ยังต้องร่วมมือกับแก๊งจากฮ่องกง ที่มีวิธีคิดและการทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ส่วนประกอบของแก๊งไมไ่ด้เกิดจากความรักใคร่สมัครสมานสามัคคี แบบแก๊งนักตุ๋นอื่นๆ ที่มักมาจากความเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่ทำงานด้วยกันมานาน หรือ เป็นคู่รัก เป็นทายาท เป็นครอบครัว

เพราะนี่คือการ "รวมการเฉพาะกิจ" จริงๆ

จุดเด่นของ "หนังนักตุ๋น" จากเกาหลี เรื่องนี้ คือการโยน "ความลับ" ใส่มาในตัวละครทุกตัว
พร้อมๆกับการวางแผนโจรกรรม ความลับของแต่ละคนก็ค่อยๆเผยออกมาทีละนิด

นอกเหนือจาก ความสนุกตามประสาหนังแก๊งตุ๋นทั่วไป ที่เราได้เห็นแผนการค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง
และเมื่อถึงเวลาดำเนินงานจริงๆ ทริคต่างๆจะค่อยๆเผยออกมาให้เราได้อมยิ้มว่า
อ๋อ ..ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง

"ความลับ" ของแต่ละคนที่ค่อยๆเปิดเผย ได้ทำให้เรื่องราวการโจรกรรม กลายเป็นแค่
"บทเกริ่นนำ" ของเรื่องราวทั้งหมด
จากจุดนี้หนังได้เปลี่ยนมุมกลายมาเป็น แอคชั่น ดราม่า หักเหลี่ยมแทน

ซึ่งหนังก็ทำได้อย่างน่าติดตามดี รวมถึงคิวแอคชั่นที่ดูจะโอเวอร์ไปบ้าง แต่ก็สนุกเอาเรื่อง
แม้ จะมีตอนจบแบบที่เดาได้ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังเกาหลีในแนวนี้ที่เจ๋งเลยทีเดียว

ท้ายสุด คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงจนเกินไป ถ้าจะบอกว่า แค่ดู จอน จี ฮุน
(และทักษะการแสดงที่ Level Up! สุดๆของเธอ) ก็ถือว่า คุ้มแสนคุ้มแล้วกับการเสียเงินตีตั๋วเข้าไปดู


หนังเข้าฉายรอบปกติวันที่ 17 มกราคมนี้
(ขอบขอบคุณเว็ปพันดริฟท์สำหรับบัตรรอบสื่อมวลชนมา ณ ทีนี้ด้วยจ้า)




- Bottom Line -

เรื่องนี้นักแสดงครบเครื่องมากกกกกกกกกกกก โดยเฉพาะจอนจีฮุน โ้อ้ย ตายไปเลยเถอะ
อยากเกิดเป็นผู้ชายทันที เพราะสวยมากๆ ไม่ใช่สวยอย่างเดียว แต่แสดงดีมากๆ ดีตามบทเลย
สงสัยไปอัพเวลตอนไปฮอลลีวูดมา ส่วนนักแสดงเกาหลีคนอื่นๆ ก็พริก ข่า ตะไคร้ ขิง จริงๆ
ไม่มีใครยอมกันเลย
ยิ่งได้ดาราฮ่องกงแบบ เยิน ต๊ะหัวมาช่วยเสริมทัพ ก็ยกหม้อขึ้นตั้งไฟ บีบมะนาวได้ทันที เพราะเึครื่องครบแล้ว
(แต่ออร่า ป๋าเยิ่นแรงมาก จนตอนดูจบเราคิดว่า อ่านี่ หนังฮ่องกงใช่มั้ย?)

ที่ผิดคาดอยู่อย่าง คือ ตอนแรกติดว่าจะสนุกกว่านี้ (สนุกแบบแก๊งโอเชี่ยนไปเลยน่ะ)
กลายเป็นว่ามีทั้งดราม่า มีทั้งแอคชั่น คือกลายเป็นอีกอารมณ์ไปเลย
(แถมพันธมิตรยังพากย์ฮาระเบิดระเบ้ออีก)

มันไม่ใช่ดราม่าแบบ Italian Job หรือ ตลกแบบ Ocean แต่มันสนุกแบบ The Thieves นะ
แม้หนังจะวอนนาบี ฮอลลีวูดไปหน่อยก็ตามที คือ ดูแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นหนังเกาหลี
ดูพยายามอยากอินเตอร์นิดนึง
ถามว่าสนุกมั้ย ก็สนุกนะ แต่ไม่ได้รู้สึกประทับใจแบบ
Sector 7 หรือ The Host ที่ดูปุ๊ปแล้วรู้สึกเลยว่า "เห้ย แบบนี้ดังแน่นอน"
(หมายถึงดังนอกประเทศ ปกติหนังเกาหลี เวลาเข้าฉายในบ้านตัวเอง
ก็ดังระเบิดระเบ้อไม่แคร์ หนังเทศอยู่แล้ว เพราะคนดูบ้านเขาจะช่วยกันดูหนังในประเทศตัวเอง)

โดยรวมก็ สนุก และ คุ้มค่า
แต่ไม่ถึงที่คาดไว้แค่นั้นเอง

ปล. ยัยตัวร้าย แต่งงานแล้วคิดว่าจะฟอร์มตก กลายเป็นว่ายิ่งแซ่บเว่ออออออออออออร์กว่าเดิม ยัยตัวร้ายตัวจริงกลับมาแล้วววววววว



<

Gangster Squad (2013), หน่วยกุดหัวแก๊งสเตอร์


บทวิจารณ์นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



นี่คือ Ocean Eleven ภาคแก๊งสเตอร์

สร้างจากหนังสือขายดีของ Paul Lieberman เรื่อง Tales from the Gangster Squad มีเนื้อหาเกี่ยวกับ แก๊งมาเฟียที่โด่งดังและแผ่อิทธิพลอย่างมากในอเมริกาช่วงปี 30's ถึง 60's ของ Mickey Cohen ที่เรื่องราวของเขาเคยถูกนำไปพูดถึงหลายครั้งในภาพยนต์หลายๆเรื่องมาแล้ว

Gangster Squad
เป็นเรื่องราวของหน่วยลับที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อทะลายองค์กรของ มิคกี้ โคเฮน (Sean Penn) โดยมีตำรวจตงฉินอย่าง จอห์น โอมาร่า (Josh Brolin) เป็นหัวหน้าทีมโดยพยายามหาสมาชิกที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ตำรวจที่เงินของมิคกี้ โคเฮน ทำอะไรพวกเขาไม่ได้

เป็นหนังที่ค่อนข้างรอคอยมานานอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับหนังมากนัก พอได้ดูจริงๆจึงค่อนข้างเซอร์ไพรซ์เล็กน้อย ยิ่งดูจบแล้วพึ่งมารู้ว่าใครกำกับยิ่งเซอร์ไพรซ์เข้าไปใหญ่ แต่ไอ้เรื่องที่สงสัย ก็ถึงบางอ้อโดยทันที..

นี่คือหนังฝีมือ Ruben Fleischer ผู้สร้างชื่อจากหนังตลกร้าย Zombieland

Gangster Squad ต่างจากหนังแนวเดียวกันอยู่หน่อยตรงที่ไม่เครียด หรือ โหดร้ายอย่างที่คาดหวังไว้ กลับกันเป็นหนังแอคชั่นกึ่งๆตลกร้าย ตามสไตล์ รูเบน ที่มักใส่มุขมาในจังหวะที่ไม่สมควรฮาแต่กลับกลายเป็น Timing ที่เหมาะสมมาก
อารมณ์ประมาณ "นี่มันไม่ใช่เวลามาตลกนะเฟร้ย!" แต่เราก็กลับหัวเราะกับมันซะดังลั่น

บอกไว้ตั้งแต่ต้นบทความว่านี่คือ Ocean Eleven ฉบับ แก๊งสเตอร์

หัวหน้าทีมออกตามหาลูกทีมไปร่วมทำภารกิจ ทั้ง คาวบอย เพลย์บอย นักวางแผน หนุ่มไฟแรง และ ไก่อ่อน


คาวบอย คือ พวกรุ่นใหญ่ ลายคราม นิ่งๆ เงียบๆ แต่ออกงานทีไม่มีพลาด
เพลย์บอย คือ พวกแสร้งทำตัวเหยาะแหยะ เสน่ห์ล้น หล่อเหลา และมักก้าวเข้ามาช่วยเหลือทันเวลาพอดี
นักวางแผน คือ พวกเก่งด้านอิเล็คทรอนิคส์
หนุ่มไฟแรง คือ พร้อมชนทุกสถานการณ์
ไก่อ่อน คือ ตัวละครที่มักเข้ามาร่วมทีมโดยไม่ตั้งใจ แต่มักเป็นตัวช่วยทีมในตอนท้าย

ตัวละครเหล่านี้ เห็นได้หลากหลายในภาพยนตร์ทุกแนว ซึ่ง Gangster Squad ก็เช่นเดียวกัน

เรามองเห็น วิลลี่ แบงค์ (Ocean Thirteen) ผู้เสียโคตรเพชรให้กับแก๊งโอเชี่ยน ในตัว มิคกี้ โคเฮน
เรามองเห็น รัสตี้ ไรอัน (Ocean Eleven) เพลย์บอยหนุ่มสุดเนี้ยบที่ พึ่งพาได้ทุกสถานการณ์ใน เจอร์รี่ วูตเตอร์ส
โอมาร่า อาจไม่ใช่ใครในแก๊ง โอเชี่ยน แต่เขาคือ เจ้าหน้าที่ K ตอนแก่ ที่เคร่งระเบียบแต่ซื่อตรงกับหน้าที่เสียเหลือเกิน..

หนังเต็มไปด้วยคาแรคเตอร์ "พิมพ์นิยมฮอลลีวูด" เต็มไปหมด


ไม่ได้กำลังจะบอกว่า "Gangster Squad" เหมือน "Ocean Eleven" หรือ มันสนุกกว่าแต่อย่างใด แต่กำลังจะบอกว่า Gangster Sqaud ไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์ หรือ ภาพจำให้กับหนังตัวเองได้เลย ขณะที่หนังอุดมณ์ไปด้วยตัวละครชั้นยอด และ พลอตเรื่องที่อาจพัฒนาให้กลายเป็นหนัง "มาเฟีย" สุค "คลาสสิค" ได้


แต่ที่ทำได้คือกลายเป็น "หนังตลกของตำรวจ" อีกเรื่องเท่านั้น

3/5






- Bottom Line -

Sean Penn รับบทนักมวยที่แขวนนวมแล้วมาไต่เต้าจนเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียชื่อดัง ตัวละครนี้มีพื้นหลังและโครงสร้างที่ค่อนข้างแข็งแรง เมื่อมาเจอกับดาราระดับ ฌอน เพนน์แล้ว น่าจะเป็นบทที่เพอร์เฟคอีกบทหนึ่ง แต่ผลกลับออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง
ถ้าจะให้พูดแบบโหดร้ายหน่อย ก็ขอบอกว่า บทมาเฟียของแกรี่ โอลด์แมนใน LAWLESS ที่ออกมากราดยิงรถตำรวจแล้วยักคิ้ว 1 ที ยังดูมีสเน่ห์มากกว่าเลย (โอลด์แมนเป็นนักแสดงสมทบใน LAWLESS)

อาจเพราะบท มิคกี้ โคเฮนของ ฌอน เพนน์นั้นดู "ลน" มาก ไม่มีสง่าราศรีของมาเฟียตัวพ่อของ LA เลย แม้โดยตัวละครจะแสดงออกว่ามีพฤติกรรมที่โหดร้ายทารุณ แต่ดูยังไงก็รู้สึกว่า ไม่น่ากลัวเลยสักนิดเดียว บทมิคกี้ ดูไม่นิ่งให้น่าเชื่อถือและน่ายำเกรงเลย กลับกันดูรู้สึกว่าเป็นตัวละครมาเฟียที่ค่อนข้างเดาออกง่ายมากๆอีกตัวนึง พูดอีกทีคงเป็นตัวละครที่ "ไม่น่าจดจำ" เลย ของ ฌอน เพนน์

และ จอช โบรลิน .. ทีแรกยังงงว่าทำไมถึงเลือก จอช โบรลิน จอช โบรลินเนี่ยนะ?
พอได้เห็นคาแรคเตอร์ของตัวละครแล้วจริงๆถึงได้เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็น จอช โบรลิน
คารวะฝ่าย Casting จริงๆสำหรับการเลือกจอช โบรลินมารับบท โอมาร่า
หากรู้สึกชอบบทเจ้าหน้าที่ K วัยหนุ่มใน MIB 3 นั่นคือบทเดียวกันกับ โอมาร่าเด๊ะๆเลย

ไรอัน กอสลิ่งผู้รับหน้าที่ "สีสัน" ของเรื่องก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีคือ เป็น "สีสัน" ซะจริงๆ
ความเท่ ความโดดเด่น ความเฉียบ ใน Drive หดหายไปหมดแล้ว
แม้ดูเหมือนไรอันจะได้รับบทที่ค่อนข้างเด่นในเรื่อง แต่กลับไม่ค่อยมีพลังขับเคลื่อนกับเนื้อเรื่องสักเท่าไรนัก
ในด้านความหล่อ และ มาด นั้นถือว่าสอบผ่าน แต่เป็นบทที่ดู กลวงมาก
หล่อ แต่ไม่สามารถเอาไปคุยได้ว่าเป็นบทที่ดี-การแสดงที่ดีของ ไรอันอกอสลิง

รูเบน ฟรีชเชอร์ คงไม่เหมาะกับหนังประเภทนี้จริงๆ
รอชม Zombieland 2 ด้วยความคาดหวังสูงลิบลิ่ว...





:: Re-up 13/01/2556
<

Upside Down (2013) , นิยามรักปฏิวัติ 2 โลก


ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ


คุณต้องฟังเรื่องเล่าของอดัมก่อน

อดัมกล่าวว่า เรื่องเล่าของเขาเกิดจากความซุกซนเล็กๆน้อยจนทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล
ก่อนอื่น โลกที่เขาอาศัยอยู่มีปัจจัยทางธรรมชาติแปลกๆ พวกเขาอาศัยอยู่บนดาวแฝดที่มีค่าแรงโน้มถ่วงที่ดึงดูดกันอยู่ ชนิดว่าใกล้ชิดกันมากเสียจน อีกแผ่นดิน กลายเป็นท้องฟ้าของอีกแผ่นดิน และดาวดวงนี้มันแปลกอยู่อย่างตรงที่ วัตถุที่เกิดจาก "ดินแดนข้างบน" ไม่สามารถลงมาสัมผัสกับวัตถุบน "ดินแดนข้างล่างได้" หากสัมผัสกันนานเกินไป พวกมันจะไหม้เป็ณจุณ ..

ทั้งสองดินแดนจึงมีกฏ ห้าม คนจากดินแดนทั้งสองลงมาเหยียบแผ่นดินของกันและกัน ใครฝ่าฝืนถือว่ามีความผิด ต้องโทษจำคุก ลงโทษสถานหนัก แต่มันน่าหดหู่ตรงที่ ทั้งสองดินแดนนั้นต่างกันราวสรวงสรรค์กับนรกโลกันต์

"ข้างบน" คือสรวงสวรรค์ ที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจาก "ข้างล่าง" ด้วยการดูดเอาน้ำมันดิบจากข้างล่างไปใช้ "ข้างบน" และ "ข้างบน" ยังใช้ทรัพยากรจากข้างล่างในการผลิตสินค้าราคาแพงหูดับ เพื่อนำมาขายกับชาวเมือง "ข้างล่าง" อีกต่างหาก ..

เริ่มเรื่องมาก็ดราม่าซะขนาดนี้แล้ว..


นั่นเป็นคำอธิบายคร่าวๆต่อหลักการของดาวแฝดในเรื่อง Upside Down ที่หนังเริ่มต้นด้วยการอธิบายของอดัมที่เสียงจิม สเตอเจสพาง่วงอยู่หน่อยๆ เพราะพูดยานคางชวนหลับ ตั้งแต่แรกเลยทีเดียว บวกกันกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ แรงโน้มถ่วง โลก อวกาศ บลา บลา บลา ทำเอาติดสตั๊นท์ไป 2-3 นาที เพราะเกือบฟังและคิดตามไม่ทัน ก่อนหนังจะเข้าเรื่องราว ดราม่า-โรแมนติคสักที

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของ อดัม เคิร์ก (จิม สเตอร์เจส) เด็กกำพร้าที่เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็ก โดยเขาบังเอิญได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งอย่าง อีเดน มัวร์ (เคิร์ทเทน ดันทส์) และดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งคู่จะถูกชะตากัน แต่สิ่งหนึ่งที่คั่นกลางระหว่างความสัมพันธ์ของพวกเขาคือ "กฏธรรมชาติที่ไม่อาจฝืน" นั่นคือ "แรงโน้มถ่วง" ของดาวของพวกเขาเอง นำมาซึ่งเรื่องราวการต่อสู้ด้วย "พลังแห่งรัก" ที่ว่ากันว่าบางครั้งมันก็ยิ่งใหญ่เหนือ "กฏธรรมชาติ" ได้เหมือนกัน

Upside Down เป็นฝีมือของผู้กำกับจากเวทีโคตรอินดี้อย่าง Juan Diego Solanas ที่ทำหนังสั้นเข้าวินเวทีโคตรอินดี้มาหลายเวที กับคนเขียนบทดีกรีโคตรอินดี้พอๆกันแบบ Santiago Amigorena ที่เห็นทำหนังฝรั่งเศสมาตลอดจนกระทั่งมาถึง Upside Down กับพลอตเรื่องสุด(ประหลาด)ล้ำ ที่พาดาราคิวเงินมาประกบคู่กัน อย่าง เคิร์ทเตน ดันทส์ที่ดูเหมือนอยากหันไปเอาดีทาง หนังนอกกระแสเสียแล้ว กับพ่อหนุ่มหน้าหวานสุดหล่อ ขวัญใจคนล่าสุดของวงการอย่าง จิม สเตอร์เจส ที่พึ่งชนะใจแม่ยกมาใน Cloud Atlas ที่ความโทรมไม่อาจปิดพรางใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาได้เลย

ได้รับชมในแบบ 3D แล้วพบว่าคุ้มเหลือหลายสำหรับ Upside Down เพราะงานภาพและ CG งดงามอลังการล้านแปดจริงๆ เสมือนเราล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศและหุบเขา เป่าปุยเมฆตลอดเวลา และ จิม สเตอร์เจสก็ช่างหล่อจริงๆ แม้จะเรื่องไหนเรื่องนั้น ไม่เคยได้รับบทหล่อเนี้ยบกับเขาสักที มาในเรื่องนี้ยังคงทรุดโทรมอยู่เหมือนเดิม แต่จิมก็หล่อมากๆจริงๆ

ส่วนดันทส์สำหรับเรานี่น้ำตาแทบหลั่ง ลืมภาพช่วงเวลาอันจืดชืดของเธอแบบสาวจิตตกใน Melancholia ไปได้เลย และก็ไม่ใช่คาแรคเตอร์สาวหัวสูงที่พาเธอพีคสุดๆแบบ Mary Jane Wattson เพราะ นี่คือ Torrance Shipman จาก Bring It On! สาวน้อยสดใสที่ ดูน่าชื่นอกชื่นใจ และ อยากเดินเข้าไปจีบ เพราะเธอดูสวยและมีสเน่ห์จริงๆ เรื่องนี้ดันทส์สวยธรรมชาติมากๆ เมคอัพก็เป๊ะมาก ไม่เวอร์ ไม่โทรม สวยกำลังพอเหมาะพอเจาะ

แต่กระนั้นแล้วความสวยหล่อของนักแสดงบวกกับงานภาพสุดอลังการอาจกลายเป็น เรื่องสูญเปล่าหาก มันอยู่ในหนังที่พลอตอ่อนยวบยาบ และการเล่าเรื่องที่น่าเบื่อ

Upside down... ก็เกือบใช่แล้วล่ะ..

แม้จะมีวัตถุดิบที่ดีมากๆอย่างงานภาพและแนวคิดใหม่ๆของเนื้อเรื่อง แต่การเล่าเรื่องใน Upside Down ถือว่าค่อนข้างน่าเบื่อเลยทีเดียว หนังเปิดหน้าเราด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ยาวพรืด ต่อด้วยเรื่องราวดราม่า น่าเศร้า ถรุยชีวิต ต่อด้วยเรื่องรักโรแมนติค ที่ "ปราศจากจุดเชื่อมโยง" กันอย่างสิ้นเชิง

วิทยาศาสตร์ยังไม่ทันได้ซึ้ง ดราม่ายังไม่ทันได้เศร้า ส่วนเรื่องรักนั้นเล่าก็ไม่ได้รู้สึกอินตามเอาเสียเลย

แต่จะว่าไปแล้วก็มีฉากพาลพาน้ำตาไหลอยู่หลายฉากเหมือนกัน ต้องปรบมือเปาะแปะให้กับสเตอร์เจสพอเป็นพิธี เพราะแม้การแสดงจะไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก แต่ก็มีโมเมนท์ชวนอึ้งกับความเป็นธรรมชาติจนรู้สึกว่า "ฮ๊า...นี่ล่ะไอ้คุณอดัมจอมประหม่า ริจะมาจีบนางฟ้าเรอะเอง!"

แม้จะพาสชั้นมาทำหนังตลาดแมสๆแล้ว แต่เพราะ Juan กับ Santiago ไม่ยอมทิ้ง "โคตรอินดี้สไตล์" ไปเสียบ้าง หนังมันเลยออกมาครึ่งๆกลางๆ จะตลาดก็ไม่ตลาด จะอินดี้ก็ไม่อินดี้ ก้ำๆกึ่งๆ ลงท้ายด้วยคนดูที่ไม่รู้สึกร่วมกับอะไรไปสักอย่าง (แบบดิฉัน) หากคาดหวังว่าจะมาเจอหนังรักสุดซึ่งตรึงใจ หนังก็ไม่ได้ไปถึงขนาดนั้น ..

แต่ไม่ใช่ว่าหนังเข้าขั้นห่วยแตก หรือ ย่ำแย่อะไรนัก เพราะโดยรวมแล้ว เราก็ยังสนุกกับฉากหลายๆฉาก อาจไม่ถึงขั้น "บันเทิงเริงใจ" แต่ก็เข้าข่าย "ก็ดีนะ"

ไม่อยากให้เชื่อการวิจารณ์ของใครจนพาลไม่ไปดูหนัง ไม่แน่หนังอาจถูกใจคุณกว่าที่คิด..

4/5



บรรทัดต่อไปนี้สุ่มเสี่ยงต่อการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ


จาก
ภารกิจของ อดัม ในการบุกสวน อีเดน หวังจะงาบ แอปเปิ้ล ของพระเจ้าครั้งนี้ เริ่มต้นด้วย ความอยากรู้อยากเห็น อันยิ่งใหญ่ แต่ลงท้ายด้วยความที่พระเจ้าจับไต๋ได้ซะก่อน แอปเปิ้ลเลยติดคอเอาไม่ออกสะงั้น จะคายก็ไม่ได้ จะกลืนก็ไม่ลง ค้างคาอยู่อย่างนั้น สุดท้าย แอปเปิ้ลก็ติดอยู่ในคอของอดัม จนกลายเป็นลูกกระเดือกของเขาตลอดไป...

ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องเล่า "กำเนิดมวลมนุษย์"
อาจเป็น บทสรุปที่แท้จริง ของ Upside Down ก็เป็นได้...
อยากรู้ต้องไปดูเอง..






...


รีวิวมาเหมือนไม่ชอบนะคะ แต่จริงๆคือชอบมากค่ะ นี่เราให้คะแนนเกือบเท่า Cloud Atlas เลยนะ รู้สึกคล้ายๆกันด้วย แม้การเล่าเรื่องของผกก.จะน่าเบื่อ อย่างที่บอก แต่ชอบไอเดียและงานภาพรวมถึงองค์ประกอบทั้งหมดของหนังมาก และจิมกับเคิร์ทเตน ก็ชวนกรี๊ดจริงๆ เคิร์ทเตนนี่ไอดอลเราเลย >///< ส่วนจิมนี่ให้พูดตรงๆนะ แม้เราจะชอบที่นายหล่อ แต่นายไม่เหมาะกับบทโรแมนติคนะ ไปเล่นบทถึกๆเซ่อๆคนดีๆ แบบ The Way Back หรือ Cloud Atlas นั่นเหมาะแล้ว


อย่างที่บอกว่า อย่าเชื่อเรานะ ไม่แน่คุณอาจชอบก็ได้
ดูหนังให้สนุกนะจ๊ะทุกคน ^^
:: Re-up 11/01/2556
<

The Town (2010) by Ben Affleck




ตอน Argo ฉาย คนดูส่วนใหญ่ต่างเอาไปเปรียบเทียบกับผลงานเก่าของเบน อย่าง The Town ต่างบอกว่า เบน ยังคงเส้นคงวาในด้านงานกำกับเหมือนเดิม

ตอน นั้นเราไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าชอบจังหวะจะโคนใน Argo มาก เป็นหนังอีกเรื่องที่ชอบมากๆของปีนี้ ทั้งสี ทั้งgrain ทั้งความเนี้ยบ ทั้งไดอะลอค มันลงตัวและสมูธมาก โดยเฉพาะฉากแอคชั่นที่ต้องลุ้น ก็ลุ้นจริงๆ แม้จะไม่มีเสียงระเบิดตูมตามก็ตาม

ก่อนหยุดยาว เลยลองหยิบ The Town มาดู
ฟอร์มตอนนั้น ที่หนังเข้าฉาย เรารู้สึกว่ามัน "อินดี้" ตอนนี้ก็ค่อนข้างไม่ค่อยชอบดูอินดี้ซะด้วย

วันนี้นั่งดูจนจบ พอหนังขึ้น Directed by Ben Affleck
เรานั่งปรบมืออยู่หน้าจอ เจ๋งมาก!

เอาจริงๆมันเป็นหนังที่พลอตธรรมดา ออกจะตลาดด้วยซ้ำ
แต่เบน ถ่ายทอดออกมาได้แตกต่างมาก!
สิ่งสำคัญคือ "จังหวะภาพ" จริงๆ

หนังมันมาแนว "เรื่อยๆ" ไม่มีฉากพีครุนแรง หรือ ฉากดุเดือดเลือดพล่านอะไร
ฉากแอคชั่นในตอนท้าย เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งจริงๆ ของเรื่องราว
เบนทำให้เรารู้สึกว่า "ความสัมพันธ์" ในหนัง เป็น "เรื่องจริง" และ "ลึกซึ้ง"
อาจเพราะบทพูด หรือ ลักษณะท่าทาง สำนวนที่ใช้ มันดูสมจริง
มันไม่ได้ดู แอ๊บเท่ หรือ เต็มไปด้วยคำพูดหล่อๆ แต่มันเป็นคำจริงๆ
ที่คนทั่วๆไปก็ใช้กัน
ไม่รู้เพราะอะไร


The Town อาจเป็นหนังน่าเบื่อ
เพราะคนมันพูดมากกว่ายิงกัน
ไม่แปลกใจทำไม เจเรมี่ เรนเนอร์ ถึงได้เข้าชิงออสการ์ในบทนักแสดงสมทบ
และ เบน เอฟเฟลค คว้ารางวัลจากเรื่องนี้มาได้หลายสำนัก
เป็นหนังที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่าง ความแมส และ อินดี้
ถ่ายทอดเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ดูจริงใจ ไม่ต้องตีความ
เห็นแล้วเข้าใจทันที


ฉากที่ชอบที่สุด คือ ตอนที่แก๊งแม่ชี จอดรถ หันไปมองตำรวจคนหนึ่งที่บังเอิญจอดรถตรงพวกเขาพอดี
ฉากนี้สำหรับเรามันคือฉาก EPIC ที่เป็น "ความหมาย" ของเรื่องทั้งหมด

ขอปรบมืออีกครั้ง..

:: Re-up 29/12/2555
<

3 เล่ม 3 เรื่อง : หยุดโลกข้ามเวลา , การผจญภัยสุดคาดคิด และ ชีวิตอัศจรรย์ของ พาย

- ไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ -



ตอนที่ David Mittchell เขียน Cloud Atlas เขาไม่คิดว่าจะมีใคร "สามารถเอาหนังสือเล่มนี้ไปทำเป็นหนัง" ได้และเขาก็ยังคงเถียงหัวชนฝาตอนที่หนังสือได้รางวัล และมีคนสนใจหยิบมันมาทำเป็นหนัง
"ผมคิดไม่ออกเลย ว่าคุณจะทำมันเป็นหนังได้ยังไง"

จนกระทั่งเหลือเพียงลูกตื๊อของ 2 พี่น้องตระกูล Wachocski ทั้ง Lana และ Andy ผู้ถนัดการทำเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องยาก(กว่าเก่า) และยังหลงรักหนังสือเล่มนี้จนถอนตัวไม่ขึ้น กระทั่ง David ใจอ่อนยอมตกล่องปล่องชิ้น ปล่อยให้ Cloud Atlas ถูกสร้างเป็นภาพยนต์ในที่สุด


วันหนึ่งขณะทีศาสตราจารย์ John Ronald Reuel Tolkien กำลังจะเตรียมตัวสอนหนังสือในชั้นเรียนช่วงบ่าย ขณะที่เขากำลังเก็บรวบรวมผลงานนักศึกษา อยู่ดีๆก็มีคำคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เขาเขียนคำคำนั้นลงบนขอบบนกระดาษ เป็นคำสั้นๆที่ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ นั่นคือคำว่า "Hobbit" ภาพของเผ่าพันธ์คล้ายมนุษย์ตัวเล็กๆ ผุดขึ้นในหัว พวกเขาตัวไม่สูงใหญ่ เท้าใหญ่โต มีขนปุกปุยที่เท้า และพวกเขาอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ฝั่งตัวอยู่ในเนินเตี้ยๆ... ก่อนจะนำมาสู่ ภาพยนต์ไตรภาคที่กลายเป็นตำนานหนังสงครามช่วงชิงแหวน ที่ครองใจผู้คนทั่วโลกอย่าง The Lord Of The Rings..


Yann Martel เริ่ม ต้นชีวิตนักเขียนตอนอายุ 27 เขาไม่ใช่นักเขียนชื่อดัง นิยาย 2 เล่มแรกของเขา ถูกวางในชั้นลึกๆ ซึ่งในที่สุดคนก็ลืม เขาเกิดอยากเขียนนิยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โปรตุเกส และเมื่อได้ทุนจากสถาบัันนักเขียน เขาเดินทางไปหาบรรยากาศดีๆในอินเดีย เพื่อเขียนเรื่อง และเรื่องราวและผู้คนที่นั่น ก็เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล เมื่อเขาได้พบกับตัวละครที่มีชื่อว่า Piscine Molitor Patel ผู้เปลี่ยนนักเขียนโนเนม ให้กลายเป็นนักเขียนชื่อก้องโลกในชั่วข้ามคืน...


Cloud atlas / 2004 / 2012

ไม่ มี่ใครเชื่อว่าพวกเขาจะเอาหนังสือเล่มนั้นมาทำเป็นหนังได้ ฉบับหนังสือนั้น เล่าเรื่องราวที่ไม่ประติดประต่อ และตัดสลับไปมาตลอดเวลา ในภาควรรณกรรมลีลาการเขียนเช่นนั้นถือว่าไม่แปลกอะไรนัก แต่การที่จะเอามันมาทำเป็นหนังนั้น แทบเป็นไปไม่ได้ ... แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสเสียทีเดียว

ลานา วาชอฟสกี , แอนดี้ วาชอฟสกี้ และ ทอม ไทก์เวอร์ ผู้เคยผ่านความท้าทายของการเล่าเรื่องนอกเหนือระบบคิดของความจริงแท้มาแล้วกับ The Matrix Trilogy พบความท้าทายใหม่ในการทำ Cloud Atlas วรรณกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวของ 6 ยุคสมัยผ่านตัวละครให้กลายเป็นเส้นเวลาเดียวกัน

การ พัฒนาบทเป็นไปด้วยความยากลำบาก จะทำอย่างไรกับ การเกิดใหม่ ภพชาติ และ การเวียนว่ายตายเกิด ควรเลือกตัวละครใหม่หมดในแต่ละภพชาติ หรือ จะใช้ตัวละครเดิม และพึ่งพาเทคนิคการแต่งหน้า กระทั่งการเล่าเรื่อง ควรเล่าเรื่องแบบตัดสลับ ไม่ปะติดปะต่อ แบบในหนังสือ หรือเรียงเรื่องราวจากอดีต สู่อนาคต เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ควรเลือกแบบไหน

โจทย์ยิ่งยาก การทำงานยิ่งท้าทาย

ที่ สุด จึงได้ภาพยนต์ความยาวกว่า 3 ชั่วโมงที่ถูกใจคอหนังสือพอสมควร (และยังคงตามมาด้วยความเห็นแบบเดิมๆที่ว่า หนังสือสนุกกว่า ก็แน่ล่ะ!) และยังถูกจัดเข้ากลุ่มหนังสองทางเลือก "ถ้าชอบก็รักเลย ถ้าไม่ชอบก็เกลียดเลย"

Cload atlas แปลเป็นไทยว่า "เมฆาสัญจร" ในฉบับหนังสือ แต่มีอีกชื่อคือ "หยุดโลก ข้ามเวลา" ในฉบับภาพยนต์ ซึ่งต้องยอมรับว่าทั้งสองชื่อ  สื่อความหมายได้ตรงเนื้อหาทั้งคู่

เล่าเรื่อง ของ กลุ่มคนที่ชะตาเกี่ยวข้องผูกพันธ์กัน ทำให้พวกเขากลับมาพบกันในทุกชาติภพ  การกระทำในแต่ละภพชาติ ทักทอพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน จนต้องมาพบกันเพื่อชำระ ไ่ถ่ถอนสิ่งที่เคยทำไว้ โดยมีฉากหลังเป็นโลกในยุคล่าอนานิคม ไปจนถึง อนาคตที่เผ่าพันธ์มนุษย์สิ้นสูญ จนเกิดยุค "เกิดใหม่"

ด้วย ความหนาของฉบับหนังสือ ทำให้หลายคนเห็นแล้วทดท้อ แต่คอหนังสือจำนวนมากที่ได้อ่านแล้วต่างยอมรับในความสุดยอดของการเล่าเรื่อง ของ เดวิด มิตเชลล์ ที่แม้การตัดสลับเรื่องราวไปมา อาจทำให้สับสนอยู่บ้าง แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การตัดสลับเป็นเพียงอุปสรรค์เล็กๆไปเลย เมื่อเทียบกับ ปรัชญา และความเชื่อทางจิตวิญญาณที่แฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง..


หนัง ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในอเมริกา นั่นทำให้นอกประเทศก็ไม่กระเตื้องตามไปด้วย มีคนตั้งข้อสังเกตุว่า หนังเกี่ยวพันธ์กับความเชื่อทางศาสนาพุทธ เรื่องภพชาติ และการเวียนว่ายตายเกิด ทำให้ผู้คนที่นับถือศาสนาอื่นไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมกับหนังเท่าไรนัก และอีกส่วนหนึ่งคือ เป็นหนังที่ "ชวนงง" อีกเรื่อง (เพราะการเล่าเรื่องแบบตัดสลับ) แต่หากพิจรณาดีๆแล้ว เป็นหนังที่ดัดแปลงจากหนังสือได้ดีมากๆอีกเรื่องหนึ่ง แทบไม่มีประเด็นอะไรตกหล่น แต่ดูเหมือน ไม่ค่อยเข้าตาเข้าใจผู้ชมทั่วไปเท่าไรนัก เพราะหนังก็ไม่ได้บันเทิงเท่าที่ควร และยังไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก (นี่ขนาดไม่ได้อธิบายอะไรก็ล่อเข้าไป 3 ชั่วโมงแล้ว)

และโจทย์ของ Cloud Atlas นั้นก็ยากมาก เพราะไม่สามารถแบ่งออกเป็นหลายภาคได้ (แบบที่เคยคิดว่าจะทำให้ตอนพัฒนาบทร่างแรกๆ) เพราะจะขาดความต่อเนื่อง พาลให้หนังดูไม่รู้เรื่องขึ้นไปอีก หนังเลยเลือกการใช้การสื่อสัญลักษณ์ต่างๆในหนัง เช่น "ดาวตก" บนตัวละครมาเป็น "กุญแจ" ให้คนดูจับจุดได้ง่ายขึ้นและการตัดสลับเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว
รวมถึงการเริ่มต้นด้วยยุคสุดท้ายของหนัง แล้วไล่จากอดีตมาจนถึงยุคสุดท้ายอีกครั้ง ทำให้หนังมี "เส้นเวลา" ชัดเจน

สำหรับ คอหนังสือหนังอาจ "ดีพอ" แล้วแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังยังทำได้ "ไม่ดีพอ" สำหรับคนดูทั่วไป อาจเพราะหนังเลือกที่จะใส่ตัวละครทุกตัวเข้ามาในหนังหมด (คิดว่าเมื่อหนังที่ถูกดัดแปลงเป็นบทภาพยนต์แล้วหากมีการตัดทอนรายละเอียด ตัวละครอื่นๆที่ไม่สำคัญนักออกก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไร) ทำให้เหล่าบรรดาตัวละคร มากมายหลายหลากประดังประเดเข้ามาในหนัง (นอกเหนือจากตัวละครหลัก) ที่อาจทำให้แฟนหนังสือกรี๊ดกร๊าดดีใจ แต่คนดูหนังทั่วไป อาจคิดว่ามันเยอะจนจำไม่ทัน ทำให้คนดูบางส่วนถอดใจไม่ดู

ส่วน หนึ่งเพราะหน้าหนังขายพลอตสุดบรรเจิดและฉากไซไฟสุดตระการตา เลยอาจพาให้หลายคนเข้าใจไปว่า นี่คงเป็นหนังไซไฟแห่งยุคอีกเรื่อง ซึ่งพอได้เข้าไปดูแล้วอาจผิดหวัง เพราะหนังเต็มไปด้วย ปรัชญา ความเชื่อ และ การเล่าเรื่องแบบซับซ้อนวกวน ผิดกับหนังฟอร์มใหญ่เรื่องอื่นๆ จนพาลพาให้ต้องแสดงความเห็นออกมาดังๆว่า "หนังห่ะอะไรดูไม่รู้เรื่องเลย"


Cloud Atlas ในฉบับภาพยนต์จึงถือเป็น หนังทางเลือกบน Box office ที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความเป็นหนัง Block Buster เพราะอุดมไปด้วยดาราดังแถวหน้าของฮอลลีวูดและทุนสร้างมหาศาล กับหนังเชิงปรัชญาที่เสพย์ง่ายอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉบับภาพยนต์นั้นย่อยเรื่องดิบๆในหนังสือให้เคี้ยวง่าย กลืนสะดวกจนหมดแล้ว

ถือว่าไม่เสียดายที่ได้ดู

4.3/5

 
The Hobbit or There Back Again / 1937 / 2012

ตอน สมัยเรียนมัธยมต้น การที่จะซื้อหนังสือวรรณกรรมเล่มละ 200-300 ถือเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสและเกินเอื้อมสำหรับเด็กบ้านนอกแบบเรา แต่ถึงอย่างนั้น เด็กแบบเราก็ไปขวนขวายไปหามาอ่านจนได้

เมื่อนักเขียนสาวนาม J.K. Rowling ได้จุดประกายรักการอ่านให้กับเด็กๆทั่วโลก ด้วยการส่งเด็กแว่นหัวดำนาม "แฮรี่ พอตเตอร์" เข้ามาครองใจเด็กๆ จากที่ตอนพักเที่ยงเคยต้องไปวิ่งเล่นกับเพื่อนหน้าห้อง หรือต้องออกไปเดินเตรดเตร่ทั่วโรงเรียน เลยได้เห็นภาพการนั่งอ่านหนังสือวรรณกรรมเล่มโต และมีเพื่อนๆมุงรอออ่านต่อ.. การอ่านกวรรณกรรมเยาวชนกลายเป็นเรื่องยอดฮิต เพื่อนๆเอาหนังสือวรรณกรรมมาแชร์กันที่โรงเรียน นับเป็นช่วงเวลาการอ่านที่สนุกสนาน จนกระทั่ง หนังเรื่อง The Lord Of The Ring (2001) โด่งดัง ...

นั่นทำให้ฉันได้พบกับหนังสือเรื่อง The Lord Of The Ring วรรณกรรมที่ไม่ค่อยจะเข้าข่าย "เพื่อเยาวชน" สักเท่าไรนักในตอนนั้น มันเล่มหนากว่า วรรณกรรมเยาวชนเรื่องอื่นที่เคยอ่าน และพบว่า ภาษายังไม่ชวนอ่านอีกด้วย เพราะมันช่างดู อืดอาดยืดยาดเนิบนาบ เหลือเกินในตอนนั้น (และในตอนนี้ด้วย ฮ่าๆ)

กระทั่ง The Two towers (2002) เริ่มจะเข้าฉาย ก็ได้พบว่าเพื่อนคนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือ "The Hobbit"

เมื่อถามคนที่อ่าน Hobbit ว่า "สนุกกว่า เดอะ ลอร์ด ไหม"
หลายๆครั้ง มักได้ยินคำตอบทำนองว่า "สนุกกว่ามาก"
ตอนนั้น เรื่องราวของ สม็อก และ บิลโบ กลายเป็นเรื่องตลก
เมื่อได้เห็นว่า ตัวละครบิลโบ ดู "ไม่เจ๋ง" เพียงใดใน The Lord Of The Ring และยิ่งไม่เข้าใจว่า
คนอย่าง บิลโบ แบ๊กกินส์ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ใครๆถึงรู้จักโฟรโด ในฐานะของ หลาน ของ "แบ๊กกินส์หัวขโมย"
ทั้ง 3 ภาคของ The Lord Of The Ring ชื่อของบิลโบ แบ๊กกินส์ จึงเป็นเพียง ตำแหน่งลอยๆ ไร้ความสลักสำคัญ..

กระทั่ง Peter Jackson คิดทำ Hobbit แม้โปรเจคจะอุปสรรคเยอะเหลือคณา แต่กระแสของหนังก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย เพราะ TLOR สร้างฐานแฟนไว้เป็นจำนวนมหาศาล ทำให้หนังภาค "ประวัติความเป็นมาของ The Lord Of The Ring" จึงยิ่งเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น..

ถึงเวลาที่ต้องอ่าน The Hobbit สักทีกระมัง...

หลังอ่านจบ ประโยคและสีหน้าท่าทางของเพื่อนคนนั้น ตอนที่เราอยู่ ม.ต้นลอยขึ้นมาทันที
"สนุกกว่า เดอะ ลอร์ด เยอะ!"
ใช่! มันเป็นเช่นนั้น ... เพราะอะไรน่ะหรือ!

ฉบับหนังสือ The Hobbit เป็นวรรณกรรมเยาวชนเล่มเล็กที่ใช้ภาษาง่ายๆ เล่าเรื่องการผจญภัย "สุดคาดคิด" ของฮอบบิท เผ่าพันธ์ที่รักความสงบ แต่กลับต้องไปร่วมทริป "ล่ามังกร" กับเหล่าคนแคระไร้บ้าน ที่ต้องการทวงบ้านคืน หนังสือเล่าเรื่องง่ายๆ แทรกมุขตลกเป็นระยะ เรื่องราวดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญ ตัวละครบิลโบ เมื่อเทียบกับ โฟรโดแล้ว เรียกว่า "คนละชั้น" บิลโบ คงเข้าทำนอง "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ" บิลโบมีความเป็นผู้นำ กล้าตัดสินใจ และ ที่สำคัญ ตลก! นั่นทำให้อดเอาไปเทียบกับ โฟรโด ไม่ได้

ส่วนหนึ่งเพราะ The Hobbit เล่าเรื่องเรื่องเดียว คือทริปคนแคระล่ามังกร ทำให้อ่านแล้วเพลิดเพลิน และอ่านจบในเวลาอันรวดเร็ว ผิดกับ TLOR ฉบับหนังสือหนาๆ 3 เล่ม ที่รายละเอียดงดงาม แต่ก็เนิบนาบตามสไตล์โทลคีนจริงๆ ฉะนั้นแล้ว ฉบับหนังสือ ให้ The Hobbit ในแง่ความบันเทิง และ TLOR ในแง่ความงดงามของจินตนาการ

ฉบับ หนังที่พึ่งเข้าฉายไปนั้น เซงแซ่ไปด้วยเสียงวิพากย์วิจารณ์ว่า "อู้ววว จะเทียบ TLOR ได้หรือนี่" อนึ่ง เพราะคนดูจำนวนมากต่างเป็นแฟนหนัง TLOR ความแตกต่างของ หนังทั้ง 2 เรื่องคือ "ความจริงจัง" ของเหตุการณ์

โฟรโด เอาแหวนไปทำลายในหุบเขาไฟประลัยกัลป์ อารากอนทวงคืนบัลลังก์ เหล่าพันธมิตรร่วมมือกันปกป้องมิดเดิ้ลเอิร์ธ
บิลโบ ช่วยแก๊งคนแคระปราบมังกร ขโมยแหวนมาจากสัตว์ประหลาดกอลลัม

หลายคนมองว่า The Hobbit ภาคปฐมบทนั้นดูจืดชืดไปหน่อย ตอนเริ่มพาลจะหลับ ตัวละครเยอะแยะเกินไป และความสมเหตุสมผลยังน้อยเกินไป

โอ้ว นี่มัน นิทานเด็กนะเพ่! ไม่ใช่ Skyfall ถึงจะได้มาจับผิดเรื่องเอ็มเปิดไฟฉายกันน่ะ!

ฉบับหนังของ The Hobbit นั้นถูกยืดกลายเป็นไตรภาค (เพื่อให้มีดีกรีเทียบเท่ากับ TLOR และ...เพื่อเงิน ฮ่า!) จากที่ตอนแรกแค่ภาคแรกก็กลัวจะไม่ได้สร้าง จนตอนนี้ใครๆต่างก็รุมทึ้ง เลยทำให้หนังภาคปฐมบทมีเวลาเล่าเรื่องได้อย่างเต็มที่ ตัวหนังมีการดัดแปลงค่อนข้างมาก คือมีการเพิ่มปมประเด็นปัญหาต่างๆยิบย่อยระหว่างทางเข้ามา ซึ่งขอชื่นชมว่าทำออกมาได้สนุกมากแบบที่ไม่ทำร้ายจิตใจแฟนหนังสือเลย เพราะเรื่องราวลื่นไหล กลมกลืน ทั้งยังสนุกกว่าฉบับหนังสือที่เล่าบางเรื่องแบบผ่านๆ แต่ในฉบับหนังหยิบมาขยายความและเรียงลำดับการเล่าเรื่องให้เข้าใจง่ายขึ้น อีกด้วย แฟน TLOR อาจหลั่งน้ำตาด้วยความคิดถึง เมื่อได้เห็นฉากเมืองต่างๆ หรือกระทั่งบรรพบุรุษของเหล่าตัวละครที่ชอบ


สิ่งเดียวที่แตกต่างและเราถือเป็นข้อด้อยของ The Hobbit ไม่ใช่การเล่าเรื่อง (ที่แม้หลายคนมองว่ายืดยาดเกินไปแต่เรามองว่า สนุกดี) แต่เป็นเรื่องของเทคนิคการถ่ายทำ ที่เรากลับชอบโทนสีแบบ TLOR มากกว่า กระทั่ง CG ง่อยๆของ TLOR ยังดูสมูธกว่าใน The Hobbit ที่บางฉากเห็นแล้วแอบเสียอารมณ์นิดๆ ที่วิจิตร(เกินไป) จนมองออกว่าอันไหน Green screen อันไหน Prop ในสตูดิโอ
อาจเพราะยิ่งยุคสมัยที่เรารู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของการถ่ายทำมากขึ้น ทำให้จินตนาการเรายิ่งลดลง หนังหลอกเราได้ยากขึ้น

ใน The Hobbit หนังมีโทนสีที่สุกสว่างสดใส ขณะที่ใน TLOR หนังเป็นโทนหม่นมัว
นั่นคือ The Hobbit นั้นเป็นยุคที่ทุกอย่างยังสุขสงบ งดงาม หญ้าเป็นสีเขียวขจี ท้องฟ้าสดใส แดดทอประกายขณะที่ใน TLOR เป็นยุคสงคราม ทำให้สีของหนังทั้งเรื่องออกซีด (ไม่ใช่เพราะฟิล์มเก่านะ ฮ่าๆ) และทุกอย่างดูหม่นมัว เนินเขาเขียวแก่ ดูจืดชืดไร้ชีวิตชีวา

แต่หากซื่อสัตย์กับความรู้สึกแรกหลังออกจากโรงแล้ว คงต้องบอกว่า "เฉยๆ" หากเทียบกับ Followships Of The Ring ที่ตอนได้ดูครั้งแรกก็หลงรักแบบที่ถอนตัวไม่ขึ้นจนทั้ง 3 ภาคกลายเป็นหนังที่ดูต่อกันแบบนันสต๊อปได้ไม่มีเบื่อ

การแสดงของ Martin Freeman ทำให้ถึงกับกรี๊ด "นี่ล่ะ บิลโบ!" เป็นการคัดเลือกที่ลงตัว สมบูรณ์มาก

ฉากแอคชั่นนันสต๊อปใน The Hobbit ทำได้สนุกและน่าติดตาม แม้จะโดนแฟนหนัง(ที่ไม่ใช่แฟนหนังสือ) ไถ่ถามกันมาอีกว่า "โอเวอร์เกินจริง" Mission Impossible มาก คงต้องย้ำกันอีกครั้งว่านี่คือ Fantasy Novel และ มันเป็นการผจญภัย "สุดคาดคิด" จริงๆ

และนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายหรอกนะ!

4/5



Life Of Pi / 2001 / 2012

ปี ก่อนเขียนบทความ "ชวนอ่านวรรณกรรมแปลไทยที่กำลังจะกลายเป็นภาพยนต์" ทำให้ได้รู้จักกับหนังสือเล่มหนึ่ง ที่แค่อ่านเรื่องย่อก็อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวเต็มๆแล้ว ยิ่งเจอลูกยุของคนที่อ่านมาแล้วในพันทิพว่าเป็นหนังสือที่ "พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง" ยิ่งทำให้กระหายอยากจะได้มาครอบครอง

หนังสือเล่มนั้นชื่อ Life Of Pi การเดินทางของ พาย พาเทล

เด็กคนหนึ่งอาศัยอยู่บนเรือกับเสือตัวหนึ่งเป็นเวลา 227 วันโดยที่ยังรอดชีวิตมาได้
เขาทำได้อย่างไร!

แค่นี้ต่อมความอยากรู้อยากเห็นก็เต้นระริกแล้ว

ทันทีที่อ่านจบด้วยคราบน้ำตาแห้งกรัง และความรู้สึกเหมือนได้โผล่ขึ้นพ้นจากน้ำ เพราะ Life Of Pi ได้เปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
แบบที่ตอนต้นของหนังสือกล่าวไว้ "ฉันมีเรื่องจะเล่า ... ฟังแล้วคุณจะศรัทธาในพระเจ้านะ"

ยาน มาเทล นักเขียนไส้แห้งชาวแคนาดา หลังจากที่หนังสือวรรณกรรม 2 เล่มแรกในชีวิตไม่ประสบความสำเร็จ เขาตัดสินใจจะเขียนเรื่องราวที่มีฉากหลังเป็นประวัติศาสตร์โปรตุเกส หลังจากขอทุนจากสมาคมนักเขียนได้ เขาก็หลงเชื่อคำเพื่อนที่ว่า "อินเดียจะช่วยเปิดโลก" ยานเลยไปอินเดีย เพื่อเขียนนิยายเกี่ยวกับโปรตุเกส ที่นั่นเขาได้พบกับเรื่องราว ความเชื่อต่างๆมากมาย แล้ววันหนึ่ง เขาได้อ่านรีวิวหนังสือบราซิลเล่มหนึ่ง มันเป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตกับสัตว์ป่าบนเรือ คำพูดของชายชาวอินเดีย เรื่องราวต่างๆของพวกเขา ทำให้ทุกอย่างพรั่งพรู...

Life of Pi พาเราไปพบกับ "ความจริง" บางอย่างที่เราไม่เคยรู้เลยเกี่ยวกับ "สัตว์" หรือกระทั่งการตั้งคำถามทางศาสนา ที่ไม่มีศาสนาใดมีคำตอบ และแก่นสำคัญที่สุดของ Life Of Pi ไม่ใช่คือการที่ว่า พาย รอดมาได้อย่างไร แต่เป็นการที่ ที่สุดแล้ว มนุษย์มี "ความเชื่อ" ที่มั่นคงแค่ไหน..

ตัวละคร พาย พาเทล ทำให้ ยาน มาเทล กลายเป็นนักเขียนที่โด่งดังข้ามคืน คว้ารางวัลมาแล้วทั่วโลก Life Of Pi กลายเป็นหนังสือที่อยู่ใน List หนังสือดีที่ควรอ่านก่อนตาย

เคยมีคนถามว่า เรื่องราวของพาย พาเทล เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ยาน มาเทลบอกทุกคนว่า "ไม่มีศิลปะใดเป็นเรื่องลวง"

คุณ "เชื่อเรื่องราวแบบไหน" กันล่ะ?

ก่อนจะมาเป็น หนังชีวิตเด็กพาย ภายใต้ร่มเงาบารมีของผู้กำกับเจ้าของออสการ์อย่าง Ang Lee หนังเคยจะให้ ผู้กำกับอินเดียผู้คร่ำหวอดอย่าง M.Night Shyamalan มากำกับ แต่ด้วยความขัดข้องบางอย่าง หน้าที่ผู้กำกับจึงตกมาอยู่ในมือของอังลี่ ซึ่งนั่นทำให้แฟนหนังสือพอใจไปได้เปลาะหนึ่ง เพราะเป็นที่รู้กันว่า อังลี่ มีงานละเมียดขนาดไหน

บทวิจารณ์แรกๆของ Life Of Pi ล้วนเป็นไปในทางบวกแบบที่หลายสำนักยกขึ้นเทียบเคียงกับ Big Fish และ Forrest Gump เลยทีเดียว หนังฉายจริง 20 ธันวาคมแต่หนังได้รางวัลไปแล้วกว่า 10 รางวัลจากหลากหลายสำนัก ยังไม่นับที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง ลูกโลกทองคำ 3 รางวัล ทั้ง ผู้กำกับยอดเยี่ยม, ภาพยนต์ยอดเยี่ยม และ เพลงประกอบยอดเยี่ยม อาจรวมไปถึงรางวัลเป้งๆในออสการ์ด้วย..

ฉบับ ภาพยนต์เล่าเรื่องได้ค่อนข้างรวดเร็ว ตัดทอนเรื่องราวรายละเอียดของแง่มุมในชีวิตพายออกไปค่อนข้างมาก และกลับมาเน้นที่องก์สองคือ การกินอยู่ร่วมกับ ริชาร์ด พากเกอร์แทน ซึ่งนั่นหนังก็ได้โยนรายละเอียดต่างๆทีีคิดว่าถูกตัดทิ้งไปแล้วในทีแรกของ ชีวิตพายกลับเข้ามาอีก ด้วยการเล่าเรื่องผ่าน พาย ตอนโต

ที่ ต้องขอบคุณอีกอย่างคือหนัง ถูกผลิตในยุคที่เทคโนโลยีด้านงานภาพสูงส่ง เราเลยได้เห็นสิ่งที่เราจินตนาการไว้ในหัว ถูกถ่ายทอดอออกมาเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติสุดงดงามอลังการที่หลายคนต้องร้อง "ขอบคุณพระเจ้าที่โลกนี้มีเทคโนโลยี 3D"

สิ่งหนึ่งที่สำคัญจริงๆสำหรับหนังเรื่องนี้คือ การแสดงของนักแสดงอินเดีย Suraj Sharma และ Irrfran Khan ที่เบียดบี้กันไม่ลง อีกคนเอาอยู่ด้วยทักษะการแสดงอันสดใหม่ อีกคนเอาตายด้วยน้ำเสียงและลีลาท่าทาง และที่คาดไม่ได้ แม้จะไม่ได้มีบทบาทอะไรนัก คือ ยาน มาเทล ที่ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อคลี่คลายบทสรุปของเนื้อเรื่อง (ในหนังสือจะต่างออกไปเล็กน้อย)

ก่อนดูยังไม่เข้าใจว่า ทำไม Life Of Pi ของ Ang Lee จึงได้รับคำชมว่า เป็นภาพยนต์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมมากอีกเรื่องหนึ่ง พอดูจบจึงเข้าใจคำว่า "ดัดแปลง" อย่างแท้จริง แม้ไม่ได้นำเสนอทุกอย่างโดยละเอียดตามหนังสือเป๊ะๆ แต่บทสรุปของหนังก็เป็นบทเดียวกันกับตอนจบในหนังสือ น่าอัศจรรย์ตรงที่อังลี เพิ่มทางเลือกให้เรามากกว่าในหนังสือเสียอีก...

หากมีใครกำลังสงสัยว่ามันคือหนังเกี่ยวกับ ศาสนาและพระเจ้า อีกแล้วหรือ?
ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า "ไม่ใช่"
ทั้ง ในหนังสือและตัวหนังไม่ได้โน้มน้าวเราให้เริ่มเชื่อในพระเจ้า หรือ ศาสนาใด แต่หนังกำลังตั้งคำถามกับ ศรัทธา ที่อยู่ในตัวเราว่ามันมีมากพอจนสามารถเชื่อเรื่องราวมหัศจรรย์เหนือจริง ได้แค่ไหน..

คุณเลือกจะเชื่อเรื่องราวแบบไหนกันล่ะ์?

4.98/5



:: Re-up 18/12/2555
<