คุณจำ Red Wing ได้มั้ยคะ?
'ยุทธการปีกแดง' ที่เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุึดของกองทัพสหรัฐในปี 2005
ไม่ว่า 'ยุทธการหอกของเนปจูน' จะยิ่งใหญ่แค่ไหนกับการปลิดชีพบินลาเดนได้สำเร็จ
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากปราศจากความเสียสละของเพื่อนทหารคนอื่น
คนที่เสียชีวิตเพื่อภารกิจ เพื่อกองทัพ เพื่อประเทศชาติ
เนื่องจาก Red Wing เป็นเหตุการณ์ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่และสะเทือนอารมณ์อยู่พอสมควร
การจะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดทางภารกิจ หรือ รายละเอียดด้านบุคคลเพื่อป้องกันประเด็นอ่อนไหวต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต
Red Wing ไม่เหมือนภารกิจอื่นๆ ที่เคยถูกนำมาทำเป็นหนัง ทิศทางการนำเสนอของผู้กำกับ จึงอาจถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมและเพื่ออิงกับแนวทางของผู้กำกับเอง ทำให้ฉบับภาพยนตร์อาจตั้งอยู่บน 2 แนวทางคือ "ดราม่าสุดใจ" หรือ "แอ็คชั่นห้าวหาญ"
นั่นถือเป็นความท้าทายของ Peter Berg ผู้กำกับ ที่คิดหยิบภารกิจนี้มาทำหนัง หลังจากที่หนังปฏิบัติการทางทหารเรื่องล่าสุดนั้น ยิ่งใหญ่ระดับเวทีออสการ์เลยทีเดียว (Zero Dark Thirty คือปฏิการหอกของเนปจูน)
Lone Survivor สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Macus Ruttrell ซีลเพียง 1 เดียวที่รอดชีวิตจาก 'ยุทธการปีกแดง' เพื่อกลับมาเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าสลดให้โลกรับรู้ หนังสือได้รับการขัดเกลาสำนวนจากนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์ชื่อดัง Patrick Robinson
หลายครั้งที่ชื่อปฏิบัติการ หรือแม้แต่โค้ดเนมและรหัสปฏิบัติการของทหาร ดูตลกและขี้เล่นจนเราอดนึกขำไม่ได้ว่า "จะเอาฮากันไปถึงไหน" ซึ่งอาจเพราะ สิ่งที่พวกเขาทำอยู่มันยากลำบาก กดดัน และเคร่งเครียดเกินไป บางครั้งพวกเขาเลยพยายามหาความสุขเล็กๆน้อยๆจากการตั้งชื่อปฏิบัติการเหล่านี้
Red Wing มาจากการเสนอชื่อจากทหารในกองทัพ โดยพวกเขาได้เปิดให้มีการโหวตจาก 4 ชื่อซึ่งแต่ละหน่วยเลือกชื่อมาจากทีมกีฬาที่ตัวเองชอบ นั่นคือ New York Rangers, Chicago Blackhawks, New Jersey Devils และ Detroit Red Wings สุดท้ายชื่อของ Red Wing ถูกเลือก อาจเพราะมันมีความคล้องจองปฏิบัติการณ์ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพในปี 1956 ที่ชื่อ "Operation Redwing" เช่นเดียวกัน
Red Wing คือ ปฎิบัติการสังหาร Ahmad Shah ผู้นำระดับสูงกลุ่มทาลีบัน ซึ่งอยู่ในขอบข่ายการปฏิบัติงานของ SEAL TEAM 10 โดยปฏิบัติการแบ่งออกเป็น 5 เฟส คือ
เฟส 1 Shaping : ซีลทีมแรก สำรวจพื้นที่ ดูลาดเลา และ ยืนยันการมีตัวตนของเป้าหมายในพื้นที่
เฟส 2 Action on the Objective : ซีลทีมสอง เข้าโจมตี สังหารเป้าหมาย และ ผู้ร่วมกลุ่มคนอื่นๆ
เฟส 3 Outer Cordon : นาวิกโยธิน เข้าสำรวจพื้นที่พร้อมกับทหารอัฟกัน ที่เพื่อค้นหา ผู้ก่อการร้ายคนอื่นๆที่ยังหลงเหลือรอบบริเวณ
เฟส 4 Security and Stabilization : นาวิกโยธินพร้อมทหารอัฟกันเข้าเยียวยาประชาชนในพื้นที่
เฟส 5 Exfiltration : นาวิกโยธินจะอยู่ประจำการในพื้นที่อย่างน้อย 1 เดือนเพื่อตรวจสอบและป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายกลับมายังพื้นที่อีก แล้วจึงจะเป็นการเสร็จสิ้น ปฏิบัติการ
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เกิดขึ้นตอน เฟสที่ 1 เท่านั้น
..................................................................................................................................................
ส่วนนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญและรายละเอียดจากภาพยนตร์ Lone Survivor
ใครไม่อยากถูกสปอล์ยข้ามไปได้เลยค่ะ
ผู้รอดชีวิตเพียง 1 เดียว
เราไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน เลยจะขอเขียนถึงแค่เนื้อหาจากในหนังแล้วกันนะคะ
สิ่งที่ทำให้เราน้ำตาไหลได้ตั้งแต่เริ่มคือการ ที่หนังเริ่มต้นด้วยการนำฟุตเทจการฝึก SEAL มาให้เราดู กฏระฆัง 3 ครั้ง หรือแม้แต่การให้เห็นสภาพว่าแต่ละคนที่กว่าจะกลายมาเป็น SEAL ได้ต้องผ่านการฝึกอะไรมาบ้าง ซึ่งหากใครเคยอ่านหรือศึกษาเกี่ยวกับการฝึกเหล่านี้มาก่อน และ ยิ่งรู้เรื่องราวของ Red Wing จะยิ่งรู้สึกว่า หนังมันเรียกน้ำตาได้ตั้งแต่เริ่มจริงๆ
และไอ้ส่วนเริ่มแรกของหนังนี่เองที่กระทบใจเราที่สุดหลังจากดูหนังจบแล้ว เพราะมันสะท้อนภาพความจริงเกี่ยวกับชีวิตของทหารในกองทัพหรือ SEAL ได้เป็นอย่างดี
พวกเขาเสี่ยงตายในการฝึก เพื่อที่จะไปเป็น SEAL
และเป็น SEAL เพื่อเสี่ยงตายในภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพื่อประเทศ
ก่อนซีลออกปฏิบัติภารกิจทุกครั้ง ต้องมีการเขียนจดหมายถึงครอบครัวไว้ล่วงหน้า เผื่อในกรณีที่เขาไม่ได้กลับมา เพราะฉะนั้นทุกครั้ง ชีวิตของซีล ต้องดำเนินอยู่บนความเสี่ยงที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ
หนังเริ่มต้นในภารกิจต่อเนื่องของซีลกลุ่มนึงใน Base camp ในอัฟกานิสถาน พวกเขาถูกเรียกมาฟังแผนงาน โดยการประชุมครั้งแรกพูดถึงแค่แผนการใน 2 เฟสแรก ทีมสำรวจทีมแรกคือทีมรีคอน ที่ประกอบไปด้วย ซีล 4 นาย คือ เรือโท Michael P. Murphy (เทเลอร์ คิทซ์) หัวหน้าทีม, จ่า Danny P. Dietz (เอมิล เฮิร์ทซ), จ่า Matthew G. Axelson (เบน ฟอสเตอร์) และ พยาบาลเสนารักษ์ Marcus Luttrell (มาร์ก วอลห์เบิร์ก) ต้องทำการสำรวจพื้นในหุบเขา Sawtalo Sar
ตามแผนงานปฏิบัติการคือ ชีนุค 2 ลำ พร้อม อาปาเช่ 2 ลำบินคุ้มกันเพื่อปล่อยตัวซีลทีมแรกในหุบเขา Sawtalo Sar จนกระทั่ง ทีมแรก ได้ดำเนินตามเป้าหมายเสร็จสิ้นทั้งหมด และส่งโค้ดภารกิจกลับมา ซีลทีมสองถึงจะเข้าปฏิบัติการต่อ และจุดเปลี่ยนของภารกิจทั้งหมดมันมาจาก คนเลี้ยงแพะกลุ่มนึง
คนพื้นเมืองชาวอัฟกานิสถานและคนแก่อีก 1 คน ต้อนแพะขึ้นมาบนภูเขา และเจอกับทีมเข้า ทีมรีบจับพวกเขามัดไ้ว้ และเริ่มหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้ิน ทุกคนต่างรู้ดีว่า นี่คือปัญหาที่ใหญ่มาก และต้องจัดการให้ดีที่สุด ซีล 3 นายได้แก่ แอ๊ก,แดนนี่ และ มาร์คัส ถกเถียงกันเรื่องทางออก แอ๊ก และ แดนนี่สนับสนุนให้จัดการคนเลี้ยงแพะทั้งหมดซะ เพราะหากปล่อยคนเลี้ยงแพะไป พวกตาลีบันในหมู่บ้านจะต้องแห่ขึ้นมาฆ่าพวกเขาแน่นอน
ขณะที่มาร์คัสไม่ยอมให้พวกเขาฆ่าคนเลี้ยงแพะที่เป็นเด็กและคนแก่ ทั้งยังผิดกฏของภารกิจด้วยที่ฆ่าประชาชนที่ไม่ติดอาวุธ นอกจากนั้นหากผ่านภารกิจนี้ไป กองทัพอาจตกป็นข่าวครึกโครม ที่ฆ่าเด็กและคนแก่ผู้บริสุทธิ์เพียงเพื่อภารกิจ สุดท้าย เมอร์ฟี่ ต้องออกมาบอกว่า นี่ไม่ใช่การโหวต แต่ทุกคนต้องตัดสินใจร่วมกัน ...
พวกเขาเลือกปล่อยคนเลี้ยงแพะทั้ง 3 ไป
ทีมพยายามติดต่อกลับไปยังฐาน แต่ด้วยปัญหาจุดอับสัญญาณทำให้พวกเขาไม่สามารถติดต่อฐานได้เลย โดยจุดที่ส่งสัญญาณกลับฐานได้ครั้งล่าสุดนั้น อาจทำให้พวกเขาต้องเสี่ยงย้อนกลับไปเจอพวกตาลีบันที่อาจกำลังไล่ตามขึ้นมาก็ได้
สุดท้ายพวกเขาก็หนีไม่พ้น กองทัพตาลีบันกว่า 100 คนบุกขึ้นเขามาแล้ว
แดนนี่ที่เป็นพลสัญญาณพยายามติดต่อกลับฐานอีกครั้งแต่ไม่เป็นผล ทีมถูกต้อนขึ้นมาจนอยู่ชิดริมหน้าผา พวกเขาถอยร่นจนต้องกระโดดผาลงไป พวกเขารอดจากการโดดครั้งแรกได้ราวปาฏิหารย์ แต่ต่อมา กองทัพตาลีบัน ใช้อาวุธหนักทั้งปืนและ RPG พวกเขาถูกยิงในที่สำัคัญหลายจุด แต่ยังต้องถอยและตั้งรับ ยิงปะทะ
แดนนี่ ถูกยิงที่ขาและไม่สามารถเดินได้เอง มาคัสลากเขาไปตลอดทาง ทุกคนถูกยิง พวกเขาถูกล้อมจนต้องถอยร่นไปเจอหน้าผาอีกครั้ง มันคือผาหินลาดชัน แอ๊กโดดลงไปก่อน มาคัสแบกแดนนี่พาดหลัง ในวินาทีที่เขากำลังจะโดดนั่นเอง มาร์คัสก็ถูกยิงตกลงไป แต่ร่างของแดนนี่กลับกระเด็นออกมากองอยู่ที่ริมหน้าผานั้น ... แดนนี่ หรี่ตาที่ใกล้ปิดเต็มที มองกองทัพตาลีบันค่อยๆก้าวเข้ามาหา ...
ที่การโดดครั้งที่ 2 ทีมเสีย แดนนี่ ดีซไป
หลังจากเสียแดนนี่ไป ซีลที่เหลืออีก 3 คน ใกล้ถึงจุดที่ไปต่อแทบไม่ไหว
เมอร์ฟี่ที่เห็นว่า หากไม่รีบส่งสัญญาณขอทีมช่วยเหลือ พวกเขาอาจตายทั้งหมด เมอร์ฟี่เสียสละ วิ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุดบนเนินเขา เพื่อหวังส่งสัญญาณสุดท้าย บนที่เปิดโล่ง แม้รู้ดีว่า อาจไม่มีทางได้กลับลงมาอีกแล้ว
ทีมได้สูญเสียหัวหน้าทีมภารกิจ ไมเคิล เมอร์ฟี่ไปจากการส่งสัญญาณบนเนินเขา
สัญญาณสุดท้ายที่เมอร์ฟี่เสียสละไปเป็นผล พวกเขาติดต่อทีมได้ แต่นั่นคือความผิดพลาด ทีม 2 รออยู่ที่เบสแคมป์ แต่อาปาเช่ไม่ได้อยู่ที่ฐานเพราะกำลังบินสำรวจพื้นที่อยู่ ผู้การ Erik Kristensen (อีริค บาน่า) จึงตัดสินใจในภาวะเร่งด่วนด้วยการจัดทีมช่วยเหลือขึ้นชีนุคทั้ง 2 ลำ แม้จะไม่มีอาปาเช่คุ้มกันก็ตาม ... โดยเขาได้พาซีลคนใหม่ที่เป็นเหมือนน้องเล็กในทีมอย่าง จ่า Shane Patton (อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก) ออกทำภารกิจแรกด้วย โดยเขามีอายุแค่ 22 ปีเท่านั้น ..
ปฏิบัติการช่วยเหลือนั้นมีชื่อว่า Red Wing II Ops ชีนุค 2 ลำมาถึงพื้นที่แล้ว ลำของผู้การอีริค เตรียมปล่อยทีมช่วยเหลือลง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น RPG ถูกยิงขึ้นมา และ ชินุคก็ระเบิดออกทั้งลำ ชีนุคอีกลำเลยต้องรีบบินกลับฐานทันที ...
พวกเขาเสียทีมช่วยเหลือไปแล้ว
มาคัส และ แอ๊ก เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่พวกเขาพลัดหลงกัน แอ๊กไม่มีกระสุนเหลืออยู่แล้ว เขายิงกระสุนสุดท้ายจากปืนสั้นออกไป สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ กระสุนที่พุ่งมาจากฝั่งตรงข้ามและฝังลงที่หัวของเขา
ทีมเสีย แอ๊กเซลสันไปแล้ว
มาร์คัส หนีต่อไป จนไปเจอชะแง่งหิน เขาพลิกตัวหลบอยู่ใต้ผานั้น จนตาลีบันจากไป .. เขาตื่นขึ้นมาในรุ่งขึ้นของอีกวัน และเดินเท้าไปจนใกล้เขตหมู่บ้าน ... ชาวบ้านอัฟกันได้ช่วยเหลือเขาไว้ และ มาร์คัส รัทเทรล ได้กลายเป็นผู้รอดชีวิต คนเดียว จากการลงปฏิบัติภารกิจ Red Wing ในครั้งนี้ ...
หนังดิบๆแบบผู้ชายของ Peter Burg
สิ่งที่น่าประทับใจในฝีมือการกำกับของ Peter Berg คือ นี่คือหนังทหารที่ทำให้เราไม่รู้สึกฟูมฟายเลย ทั้งที่มันเป็นภารกิจที่เศร้าสะเทือนใจที่สุดในรอบหลาย 10 ปี ของกองทัพสหรัฐ อาจเพราะ ปีเตอร์ เบิร์กต้องการให้โทนหนังมีความรู้สึกของการเป็นหนังทหารจริงๆ อารมณ์ของหนังที่เราได้รับเต็มๆคือความรู้สึกแบบผู้ชายอันเข้มข้น
ไม่ว่าความตายของใครล้วนแล้วแต่มีความหมายเท่าๆกัน หนังไม่ได้ทำให้บทของใครโดดเด่นเป็นพิเศษ หากเทียบกับหนังภารกิจเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น หากคุณชอบความรู้สึกสุดเศร้าและระทึกใจจากการดู Black Hawk Down ของ ริดลี่ย์ สก็อต หรือความอบอุ่นสุดซาบซึ้งชวนประทับใจจาก Saving Private Ryan ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก คุณอาจจะไม่ได้ ความรู้สึกนั้นจาก Lone Survivor ของปีเตอร์ เบิร์ก เลย
เพราะหนังไร้ความอบอุ่น ซาบซึ้ง หรือ ไดอะล็อคสุดคมคาย อย่างสิ้นเชิง
แม้จะมีอีริค บาน่า ร่วมแสดงด้วยก็ตาม (ฮา)
ที่บอกว่า Lone Survivor ของปีเตอร์ เบิร์กนั้นมีความเป็นผู้ชายอยู่สูงมาก เพราะหนังมีบทพูดที่ดูธรรมดาเหลือเกิน จนแทบมองไม่เห็นความหล่อ ความเท่ในแบบหนังทหารทั่วๆไป (ที่มักมีคำพูดหล่อๆ ฮีโร่ๆ ให้คนดูได้รู้สึกซาบซึ้งกัน) แต่กลับเป็นบทสนทนาธรรมดาๆ เช่น การของขวัญให้ภรรยา แม้แต่สีที่จะเอาไปทาบ้าน หากได้กลับไปบ้านหลังภารกิจนี้ ...
ในช่วงของภารกิจ หนังไม่ได้เปิดโอกาสให้เรารู้สึกลุ้นเท่าไรนัก เพราะมันเป็นการสาดกระสุนแบบนันสต็อป ถูกต้อนและถอยร่น และ ถูกยิงตลอดเวลา แม้แต่ฉากที่ตัวละครตาย เรายังไม่ได้รู้สึกเศร้าเลย ทั้งที่มันน่าจะต้องเศร้าจนน้ำตาทะลักแท้ๆ คือเราก็น้ำตาทะลักนะ แต่คิดไว้ว่า หนังจะบิวด์กว่านี้ ทั้งดนตรี หรือ การดำเนินเรื่อง ไม่เอื้อให้ทะลักเลย
หลายคนไม่ชอบดูหนังสงครามหรือหนังทหาร เพราะ ไม่ชอบหนังที่กล้องสั่นไปมา หรือ แม้แต่การใช้เทคนิด Hand-held ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลัง หนังทหารยังมีมุมกล้องให้เล่นมากกว่านั้น ทั้งมุมกล้องแบบข้ามไหล่ มุมจากปลายกระบอกปืน ฯลฯ
ซึ่ง Lone Survivor ไม่ได้ใช้มุมกล้องสร้างความหลากหลายอะไรเลย ดูง่าย ชัดๆ แจ่มๆ เหมือนหนังแอคชั่นทั่วไปนี่แหละ (นี่อาจเป็นส่วนนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่า หนังดูธรรมดามาก) แม้จะมีมุมแบบหนังสงครามหรือหนังทหารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า เป็นจุดเด่นของหนังแต่อย่างใด ปีเตอร์ เบิร์ก ได้ผู้กำกับภาพคนเดิมที่เคยร่วมงานกันมาแล้วหลายเรื่อง อย่าง Tobias A. Schliessler ที่เคยฝากผลงานไว้ใน Battleship มาแล้วนั่นเอง
ซึ่งแม้งานภาพจะดูธรรมดาจนเรานึกเสียดาย แต่โดยรวมแล้ว การเล่าเรื่องหรือดำเนินเรื่องก็ไม่ได้ย่ำแย่ แม้จะแข็งและทื่อไปนิด แต่ก็ให้อารมณ์ของหนังทหารที่ดิบแตกต่างจากโทนดราม่า เศร้าซึ้งทั่วไปๆ (หนังทหารมักลงเอยด้วยน้ำตาเสมอ)
โดยรวมแล้ว ชอบเลยทีเดียว ห้วนสั้น ชัดเจน ไม่ต้องฟูมฟายอะไรมาก
อีกอย่างคือ หนังใช้ศัพท์ทางทหารและตัวย่อเยอะมาก จนบางทีคนดูที่ไม่ค่อยคุ้นศัพท์อย่างเราๆอาจงงเล็กๆได้ และคำพูดในหนังที่เยอะที่สุดคือคำว่า F*ck ที่ตัวละครพ่นกันมาทุก 1 นาทีจริงๆ ...
ความตายของ มาคัส รัทเทรลล์
มาร์คัส รัทเทรลตัวจริงเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด และเชื่อในพระเจ้า การตัดสินใจในคราวนั้น ส่วนนึงก็เพราะเขาไม่อาจทำใจฆ่าคนบริสุทธิ์ ที่ยังไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ได้ และเพราะเขาเชื่อมั่นในพระเจ้า เขาเลยปล่อยคนเลี้ยงแพะไป
ในหนัง ตอนที่พวกเขาเจอไล่ต้อนครั้งแรกจนต้องกระโดดหน้าผา แต่สามารถรอดมาได้ รัทเทรลล์ ได้หันมาบอกกับ เมอร์ฟี่ว่า "เห็นไหม พระเจ้าทรงเฝ้ามองเราอยู่จริงๆ" เมอร์ฟี่ได้ตอบกลับมาว่า "ถ้าพระองค์มองอยู่จริงๆ ฉันก็เกลียดชะมัดเวลาที่เขาโกรธ"
ครั้งนึงในหนัง มาร์คัสบอกว่า เขาอาจตัดสินใจผิดที่ปล่อยคนเลี้ยงแพะไป แต่หนังก็ได้ทำให้เราเห็นว่า จนวินาทีสุดท้าย ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของใครที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพราะ ณ เวลานั้นทุกคนได้ตัดสินใจร่วมกันมาแล้ว
บทสัมภาษณ์ของมาร์คัส รัทเทรลตัวจริงบอกว่า
"การตัดสินใจในครั้งนั้น และ ความรู้สึกอันเลวร้ายนี้ จะไม่มีวันหายไปจากตัวเขา และมันจะลงหลุมไปพร้อมกับเขาในที่สุด ความตายเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้..."
มาร์คัส รัทเทรลในหนังบอกว่า
"ผมตายอยู่บนภูเขาลูกนั้น
ส่วนหนึ่งของผมอยู่บนภูเขานั่น ความตาย ..
เช่นที่พี่น้องของผมตาย
ส่วนหนึ่งที่ยังมีชีวิตของผมอยู่ที่เพราะพี่น้องของผม
ผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะพวกเขา
และมันไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมลืมเลือนได้
ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน จะต้องพบกับความมืดมนมากเท่าไร
และต้องล้มลงอีกสักกี่ครั้ง
...
คุณจะไม่มีทางหนีจากการต่อสู้ได้ครั้งนี้ได้ ..."
4/5
...................................................................................................................................................
... ยุทธการปีกแดง ...
หลังจากความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ในปฏิบัติการ Red Wing ที่ทำให้มีทหารเสีียชีวิตในภารกิจทั้งสิ้น 19 นาย เป็น Navy Seal 11 นาย และหน่วย Night Stalker อีก 8 นาย สัปดาห์ต่อมา "ยุทธการปลาวาฬ" คือการสานจากความล้มเหลวในภารกิจ Red Wing และสามารถบรรลุเป้าหมายคือ การฆ่า อามัด ชาห์ ได้ในที่สุด
"ยุทธการปลาวาฬ" นี่เองก็เป็นดั่งภาคต่อของ "ปีกแดง" เพราะชื่อปฏิบัติการนั้นมาจากทีมกีฬาเช่นเดียวกัน นั่นคือ Hartford Whalers ทีมฮอกกี้น้ำแข็งในคอนเนคติคัด
ปีต่อมาชื่อของ แดนนี่ ดีทซ์ และ แมธธิว เอ็กเซลสันได้รับประดับเหรียญกล้าหาญ Navy Cross ที่มีเกียรติสูงสุดของกองทัพเรือ เช่นเดียวกับ มาคัส รัทเทรล ขณะที่ เรือโท ไมเคิล เมอร์พี่ ได้ประดับเหรียญ Medal Of Honor หรือ เหรียญกล้าหาญขึ้นสูงสุดที่สุดในกองทัพสหรัฐ
เพื่อเป็นการ รำลึกเกียรติคุณและความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ของไมเคิล เมอร์ฟี่ ในปี 2010 กองทัพสหรัฐได้แต่งตั้งชื่อเรือรบประจัญบานรุ่น DDG-112ด้วยชื่อใหม่ว่า USS Michael Murphy และได้ปลดประจำการเรือรบ USS Michael Murphy เพื่อนำมาใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ของ ไมเคิล เมอร์ฟี่ ต่อไป ...
มาคัส รัทเทรลล์ และ มันรีน เมอร์ฟี่ ภรรยาของไมเคิล เมอร์ฟี่ ในงานรับมอบเหรียญกล้าหาญของไมเคิล
ไมเคิล เมอร์ฟี่ และ แมธธิว เอ็กเซลสัน ขณะยังมีชีวิตอยู่
แดนนี่ ดีซท์
เอริค คริสเตนเซน
เชน แพตตอน
...................................................................................................................................................
หนังสือที่เกี่ยวข้อง
Lone Survivor: The Eyewitness Account of Operation Redwing and the Lost Heroes of Seal Team 10
Lone Survivor : เย้ยมัจจุราช (แปลไทย)
No Easy Day: The Firsthand Account of the Mission that Killed Osama bin Laden
No Easy Day: ปฏิบัติการ ล่าสังหารบิน ลาเดน
Victory Point: Operations Red Wings and Whalers - The Marine Corps' Battle for Freedom in Afghanistan (ยังไม่มีแปลไทย)
...................................................................................................................................................
บทความที่เกี่ยวข้อง
เปิดบทสัมภาษณ์ "The Shooter" มือสังหาร ผู้ลั่นไกปลิดชีพ บิน ลาเดน
http://pantip.com/topic/30413503
... กว่าจะเจอ บิน ลาเดน ใน Zero Dark Thirty ...
http://pantip.com/topic/30108958
ชวนอ่านวรรณกรรม(แปลไทย) ที่กำลังจะทำเป็นภาพยนต์ ภาค 4 !!
http://pantip.com/topic/30692758/comment9
...................................................................................................................................................
- เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่คุ้นกับศัพท์ทางทหารนัก เลยพยายามเขียนตามความเข้าใจ ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าจ้า
- หนังยังไม่เข้าไทย แต่พอดีมีคนหามาให้เราดูก่อน เลยมีโอกาสได้ดูก่อนเท่านั้นเองจ้า
- หนังเข้าฉายในประเทศไทยในชื่อ "ปฏิบัติการพิฆาตสมรภูมิเดือด" วันที่ 31 มกราคมนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น