Popular Posts

มาดูหนัง/ละคร สงครามของเกาหลีกันแล้วคุณจะเข้าใจทำไมเขาต้อง "ชาตินิยม"

ระยะนี้ทำงานค่อนข้างเยอะ
จากที่ปกติเมื่อก่อนต้องดูซีรี่ย์เกือบทุกเรื่อง คือดูตามเวปปกตินั่นแหละ ดูทุกอาทิตย์
พองานเยอะก็ไม่ได้ดู นึกได้อีกทีก็ ..จบไปหลายเรื่องแล้ว
มีโอกาสเลยมานั่งเคลียร์ละครที่ดูค้างๆไว้
เราเป็นคนแปลกๆอย่างหนึ่ง ที่บางทีก็รู้สึกรำคาณตัวเองเหมือนกันคือ
ขี้สงสัยมาก..
ดู ผ้าทอ...ชีวิต ที่เป็นซีรีย์จีน ก็สงสัยเรื่องลำดับขั้นราชวงศ์ มองโกลยึดแล้วไงต่อ เรื่องสงครามทำไมไม่พูดถึง
แล้วราชวงศ์นั้นนี่ล่ะ บลา บลา บลา
(ไว้จะเขียนเรื่องผ้าทอ...ชีวิต พร้อมเกร็ดประวัติศาสตร์แบบที่เราไปค้นหามาแล้วให้ฟัง)
เป็นอย่างนี้มาหลายเรื่อง
หากเรื่องไหนที่มันเชิงประวัติศาสตร์ พอดูเสร็จก็ต้องรีบไปหาหนังสือมาอ่านประกอบ
กับหนังก็เหมือนกัน..

มาถึง Bridal Mask ... ซีรี่ย์เกาหลีเชิงสืบสวน ที่มีพื้นหลังเป็นยุคที่เกาหลีถูกปกครองโดยญี่ปุ่น
เราชอบจูวอนพอสมควรตอนดู Ojakgyo Brothers รู้สึกว่านักแสดงคนนี้แสดงดีนะ
แต่พอดู Bridal Mask จบ ก็ชอบมากถึงขั้นต้องไปเขียนอวยชัยเถลิงยศกันเลยทีเดียว




Bridal Mask หรือ หน้ากากเจ้าสาว เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มลึกลับคนหนึ่งที่จะใส่หน้ากากเจ้าสาว
ออกช่วยเหลือ ประชาชนชาวเกาหลีที่โดนทหาร/ตำรวจญี่ปุ่นรังแก

ซึ่งตัวเอกอย่าง "ลีคังโท" (จูวอน) เป็นชาวเกาหลีที่หันไปสวามิภักดิ์กับองค์จักพรรดิญี่ปุ่น
โดยเป็นนายตำรวจประจำอยู่ที่สถานีจองโรใน คยองซอง*
และยังทำร้ายประชาชนชาวเกาหลี ทำให้ชาวเกาหลีเกลียดชังลีคังโท และเรียกขานเขาว่า "หนทางสู่นรก"

*คยองซอง - หรือ กรุงโซล ในปัจจุบัน คยองซองเป็นชื่อที่ใช้เรียกกรุงโซล ตอนถูกยึดเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น



Bridal Mask อาจเป็นละครที่ช่วยสร้างความหึกเฮิมให้กับประชาชนชาวเกาหลีได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่าหลายๆฉากพยายามเน้นเรื่องการต่อสู้ของประชาชนชาวเกาหลีกับ รัฐบาลญี่ปุ่น
ในละคร*มีการชี้ให้เห็นว่า ประชาชนชาวเกาหลีถูกรัฐบาลญี่ปุ่นทำร้าย รังแก อย่างเหี้ยมโหดมากมายเพียงใด

*ละคร Birdal Mask - ออกมาหลังกรณีพิพาทที่ถูกจุดขึ้นมาอีกครั้งในกรณี เกาะด๊อดโด ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในเกาะดังกล่าว
จนทำให้วงการบันเทิงเกาหลี ญี่ปุ่น ค่อนข้างตึงเครียดอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะนักแสดงหลายคนได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าวด้วย


กว่าเกาหลีจะสร้างชาติให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้ได้ เกาหลีผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งการตกเป็นอาณานิคม
ความอ่อนแอของกองทัพ และราชวงศ์ การถูกช่วงชิงสมบัติ ไร่นา ที่ดิน กระทั่งการดูถูกความเป็นมนุษย์ ความยิ่งใหญ่ของกระแสวัฒนธรรมเกาหลีในปัจจุบันจึงอาจเรียกว่าเป็นการ "ชำระแค้น" ก็เป็นได้...


จึงจะเห็นได้ว่า ในช่วงแรกที่ละครเกาหลีกำลังเป็นที่นิยม ละครประเภท พีเรียด-สงครามเกาหลียุคโบราณ
เป็นที่นิยมมาก ทั้งในประเทศ และนอกประเทศ

ส่วนหนึ่ง เพราะหากเป็นช่วงสงครามยุคใหม่ เกาหลีแทบไม่สามารถหยิบอะไรมาสร้างเรื่องราวได้เลย
เพราะเกาหลีมักตกเป็นอาณานิคมเสมอ

แต่หากย้อนไปยังเกาหลียุคโบราณ สมัยรวมแผ่นดิน ยังมีการสู้รบของเผ่าต่างๆ
ทำให้เกาหลีสามารถสร้างสรรค์เรื่องราวความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ตนเองได้ไม่ สิ้นสุด
ขณะที่ในปัจจุบัน* ไม่สามารถทำได้




*ซีรี่ย์ Goong
- เป็นเรื่องราวสมมุติ หากเกาหลียังมีระบบราชวงศ์อยู่ จะส่งผลอย่างไรกับการเมืองและประเทศบ้าง
นอกจากเรื่องราวความรัก (ที่เป็นพลอตหลักของเรื่อง)
ยังมีเรื่องของการช่วงชิงบัลลังก์และเรื่องที่ ราชวงศ์มักผูกติดอยู่กับอำนาจทางการเมือง (ที่เป็นเหมือนกันทั้งโลก)

ปัจจุบันมีการฟื้นฟูราชวงศ์เกาหลีขึ้นมา แต่เป็นเพียงเส้นสายราชวงศ์กลุ่มเล็กๆ
ที่ไม่มีบทบาททางการเมือง เพราะเกาหลีมีระบบประธานาธิบดีอยู่แล้ว





Bridal Mask กล้าที่นำเสนอมุมมองอันเลวร้าย ขณะที่ญี่ปุ่น*ปกครอง เกาหลี
ขณะที่ละครหลายๆเรื่องก็ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องราวในประเด็นอ่อนไหวเช่นนี้นัก ในปัจจุบัน
(เพราะปัจจุบันเกาหลีเองก็พยายามเข้าไปทำศึกเศรษฐกิจในญี่ปุ่น
แบบที่เรียกว่า อยากยึดญี่ปุ่นเป็น อาณานิคม ตัวเองเหมือนสมัยสงครามโลก)





*คอหนังสือคงไม่มีใครไม่รู้จัก -  "หลั่งเลือดที่นานกิง"
เพราะเป็นหนึ่งหนังสือที่เกี่ยวกับสงคราม ที่ "ควรอ่าน" อย่างยิ่งยวด
โดย "หลั่งเลือดที่นานกิง" เป็นเรื่องราวตอนที่ญี่ปุ่นบุกเข้าไปทำสงครามในจีน
ซึ่งเหตุการณ์วิปโยคนั้นเกิดที่เมืองนานกิงนั่นเอง


Timeline สงครามและการเมืองของญี่ปุ่น ใน Bridal Mask เป็นของจริง
ในเรื่องมีการพูดถึงการเกณฑ์สาวเกาหลีไปเป็น ทาสโสเภณีให้กับทหารญี่ปุ่นที่ออกรบอยู่
หรือการเกณฑ์หนุ่มสาวไปออกรบในสงครามที่ญี่ปุ่นพยายามบุกไปยังทวีปต่างๆ
รวมไปถึงกระทั่ง การสั่งห้ามใช้/พูด/เขียนภาษาเกาหลี และยังมีการบังคับใช้ชื่อญี่ปุ่นในชาวเกาหลีด้วย

เหตุการณ์ใน Bridal Mask ก็คือตอนที่ ญี่ปุ่น กำลังบุกจีน ยึด นานกิง นั่นเอง

ใน Bridal Mask มีการเปรียบเทียบไปถึงการลุกฮือของประชาชนในปี 1919 หลังจากที่ พระเจ้าโกจงสวรรคต
โดยเชื่อว่าเป็นการถูกลอบวางยาพิษ ซึ่งในครั้งนั้นประชาชนชาวเกาหลีได้ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลญี่ปุ่น
ทำให้ถูกรัฐบาลญี่ปุ่นปราบปรามอย่างรุนแรง ครั้งนั้นมีประชาชนชาวเกาหลีเสียชีวิตไป 7,000 คน




ประโยคหนึ่งใน Bridal Mask กล่าวว่า

"...เกาหลีเป็นชนชาติที่อ่อนแอ ต้องคอยให้คนอื่นปกป้องตลอดเวลา.."

หมายถึง ก่อนหน้านี้ เกาหลีก็อยู่ภายใต้การปกครองของจีน จนมาถูกญี่ปุ่นยึดในปี 1910
ซึ่งในสมัยรวมแผ่นดิน เกาหลีก็เคยถูกญี่ปุ่นบุกมาก่อนแล้วเช่นกัน ในยุคโจรสลัด

(ก่อนญี่ปุ่นจะเข้าครองเกาหลีได้เบ็ดเสร็จ ก็หลังจากที่พระราชาองค์สุดท้ายสวรรคตแล้ว
โดยก่อนหน้านี้กษัตริย์เกาหลีได้พยายามขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ แต่ไม่มีใครสนใจประเทศเล็กๆแบบเกาหลีเลย)

เกาหลี ถูกญี่ปุ่นปกครองอยู่ถึง 30 ปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะถูกประกาศให้พ่ายสงครามโลก
แต่ เกาหลี ก็ยังไม่สงบ เพราะหลังจากญี่ปุ่นพ่ายสงครามโลก เกาหลีก็ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ เหนือและใต้ ...
ตามมาด้วยสงครามสุดยิ่งใหญ่อีกครึ่งหนึ่งของโลก คือ "สงครามเกาหลี"
(เป็นสงครามที่คำว่า "สงครามตัวแทน" ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน)




การแบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ส่วนในสงครามเกาหลี


ย้อนกลับไปตอนที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นปกครอง ตอนนั้น สตาลิน ของโซเวียต
มีความต้องการอยากยึดเกาหลีและแมนจูเรียอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พออเมริกาทิ้งบอมบ์ที่ฮิโรชิม่า
ทำให้ญี่ปุ่นพ่ายสงคราม โซเวียตจึงเข้ายึดดินแดนเกาหลีฝั่งทางเหนือ
แต่ถูกอเมริกันปราม เพราะเกรงว่าโซเวียตจะแพร่ขยายดินแดนและความเป็นคอมมิวนิสต์มากจนเกินไป
จึงประกาศให้แบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ส่วนคือ เหนือ และ ใต้

โดยฝั่งเหนือนั้นจะอยู่เหนือเส้นขนานที่ 38 ขึ้นไป ... โซเวียตจึงได้เข้ายึดเกาหลีเหนือ
(เดิมเกาหลีเป็นแผ่นดินเดียวกัน มีเมืองหลวงอยู่ที่โซล
พอแยกตัว เมืองหลวงของเกาหลีเหนือจึงเปลี่ยนเป็น เปียงยาง)

การเมืองของทางรัฐบาลฝั่งเหนือ ดูจะเข้มแข็งกว่าฝ่ายใต้
เพราะเป็นคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์และยังมีโซเวียตหนุนหลัง
ขณะที่ฝ่ายใต้แตกแยกเป็นหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ กลุ่มประชาธิปไตย และกลุ่มคอมมิวนิสต์
โดยฝ่ายใต้มีอเมริกาหนุนหลังอยู่เงียบๆ

ฝ่ายเหนือเคยบุกลงมายึดกรุงโซลได้ครึ่งหนึ่ง และอเมริกาได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือฝ่ายใต้
โดยการขับไล่ฝ่ายเหนือกลับไปยัง เหนือเขตขนานที่ 38 จนได้
ทั้งเหนือและใต้รบพุ่งกันตลอดเวลา จนกระทั่งในปี 1997 ฝ่ายใต้ขอเจรจารวมประเทศ
แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายเหนือ ทำให้เหนือและใต้ยังคงเป็นศัตรูกันมาจนถึงปัจจุบัน ...




หากใครมีโอกาสได้ดูมหากาพย์ภาพยนต์เกาหลี "เทกึกกี... เลือดเนื้อ เพื่อฝัน วันสิ้นสงคราม"
ที่เข้าฉายเมื่อปี 2004 นั่นก็พอจะทำให้เราได้เห็นบรรยากาศของสงครามเกาหลีได้ส่วนหนึ่ง
เทกึกกีเป็นภาพยนต์รำลึกในวาระครบรอบ 50 ปีสงครามเกาหลี
"เทกึกกี" หมายถึง ธงชาติเกาหลี โดยคำนี้ใช้มาตั้งแต่ก่อนเกิดสงครามเกาหลี
จนกระทั่งมีการแยกประเทศ เทกึกกี จึงกลายเป็น คำเรียกธงชาติเกาหลีใต้

เทกึกกี เป็นเรื่องราวของ 2 พี่น้อง จินซก (วอนบิน) และ จินแท (จางดองกัน)
ที่ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามอย่างไม่ตั้งใจ
จินซกเป็นเด็กเรียนดี เป็นความหวังของครอบครัว
จินแทเป็นคนแข็งแรง มุมานะ เขาเปิดร้านซ่อมรองเท้าและมีคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงานกัน ...



จนวันหนึ่ง เมื่อเกิดสงครามเกาหลี จินซกถูกเกณฑ์ไปรบ จินแทอยากช่วยเหลือน้อง
จึงวิ่งไปตามจินซกตอนจินซกจะไปขึ้นรถไฟ ด้วยหวังอยากให้น้องกลับบ้าน
จึงหลงเชื่อข่าวลือที่ได้ยินมาว่า หากได้เหรียญหล้าหาญ จะทำให้จินซกกลับบ้านได้
จินแท จึงต้องเข้าร่วมเป็นทหารในกองรบโดยปริยาย (บ้านหนึ่งจะต้องส่งตัวแทนไปรบเพียง 1 คน)

จินแท รบแบบเสี่ยงอันตรายตลอดเวลา เพราะอยากได้เหรียญกล้าหาญ อยากให้น้องได้กลับบ้านเร็วๆ
แต่ด้วยความมุทะลุของจินแทนั้นเอง ทำให้เรื่องราวพลิกผัน จินแทหายสาปสูญ ...
จินซกตามหาพี่ชาย ... เมื่อได้พบพี่ชายอีกครั้ง ... จินแทพยายามฆ่าจินซก ...
จินซกจึงรู้ว่า พี่ชายของเขา จินแท กลายเป็นทหารฝ่ายเหนือไปแล้ว ...




เรื่องนี้เศร้ามาก และดีมากๆ ค่ะ ต้นเรื่องจะบรรยายให้เราเห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ได้ดีนักของชาวเกาหลี
เพราะพึ่งปลดแอกจากญี่ปุ่นมา แต่ประชาชนชาวเกาหลีทุกคนก็มีความสุข เพราะไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร
จินแท และจินซก รักกันมาก จนกระทั่งถูกเกณฑ์ไปรบ ตอนนี้จะมีมีทั้งเรื่องความรักของพี่น้อง
และ ความรักของหนุ่มสาว คือ ของจินแทและแฟนสาว (เศร้ามาก TT)
มีการเล่าถึงตอนที่ทหารมาเกณฑ์คนแต่ละบ้านไปรบ ตอนนี้เราจะได้เห็นถึง สภาพบ้านเมือง
ที่กลับกลายเป็นเมืองร้างอีกครั้ง เรื่องนี้มีตอนจบที่ดีมาก
เป็นอีกเรื่องที่ฉบับหนังสือและหนังทำได้ดีพอๆกัน แนะนำให้อ่าน/ชม เลยค่ะ






กับอีกเรื่อง ที่นำเอาบันทึกเล็กๆของ นักเรียนนักเลง ที่ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามเกาหลี
ทีแรกพวกเขาก็ยังทำตัวแบบนักเลงอยู่ จนกระทั่งรู้ว่า ถึงเวลาต้องรบจริงๆ
พวกเขาจึงต้องรวมพลังกัน ใน 71 : Into The Fire นั่นเอง

เป็นอีกเรื่องที่โด่งดัง และ พูดถึงในวงกว้าง
ส่วนหนึ่งเพราะเป็นการดึงเอาไอดอลเกาหลีชื่อดังอย่าง T.O.P วง BIG BANG
มารับบทนำในภาพยนต์เป็นครั้งแรก ประกบคู่กับ ควอนซังวู ร่วมด้วย ชาซึงวอน และ คิมซึงวู



71 : Into The Fire เป็นเรื่องของนักเรียนเกาหลี 71 คนที่เป็นนักเรียนนักเลง
นถูกพาไปรบในสงครามเกาหลี โดยพวกเขาถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่โรงเรียนหญิงล้วนโพฮังดง
ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานรบของฝ่ายใต้ โดยที่ฐานรบนี้มีภารกิจคือ ป้องกันสะพานไม่ให้ พวกฝ่ายเหนือ ข้ามสะพานมาได้

เรื่องนี้ คอวนซังวู แสดงดีมากจนน่าตบค่ะ ส่วนท๊อปของเราเล่นเป็นบทเด็กหน่อมแน้ม น่าร้ากกก
ส่วนชาซึงวอนเล่นเป็นแม่ทัพฝ่ายเหนือค่ะ ตอนแรกเราไม่ได้อยากดูเรื่องนี้
เพราะท๊อปมันเล่นเนี่ยแหละ คือมีความรู้สึกว่าการเอาไอดอลไปเล่นหนังมันจะออกมาไม่ดีไงไม่รู้ เลยไม่อยากดู



แต่ช่วงนั้น บังเอิญว่างงาน เลยเปิดดู โห ... ถือว่าพลาดจริงๆถ้าไม่ได้ดู เพราะมันดีมากๆ อิ่มเอมมากๆ
แทกึกกี นั้นซึ้งโดยเนื้อหาแล้ว เราว่าเทียบกับ Into the fire ไม่ได้ในแง่ของ "พลัง" ของนักแสดงค่ะ
ทุกอย่ามันลงตัวไปหมด ไปจนกระทั่งจุดพีคของเรื่อง คือฉากต่อสู้บนหลังคา
(ที่อิท๊อปมันชอบเอามาโม้ออกรายการบ่อยๆนั่นแหละ)

Into The Fire สร้างจากเรื่องจริง ของนักเรียนเกาหลี 71 คนที่สามารถเอาชนะทหารเกาหลีเหนือ
และสามารถปกป้องสะพานที่ป้อมโพฮังดงไว้ได้ โดยความฉกาจฉกรรจ์ของทหารเยาวชนกลุ่มนี้คือ
ด้วยนักเรียนที่ไม่มีทักษะการรบใดๆมาก่อนเลย สามารถเอาชนะทหารเกาหลีเหนือกว่า 100 คนได้



อาจจะเริ่มเข้าใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้วใช่มั้ยคะ ว่าทำไมเกาหลีถึงชาตินิยม
และพยายามนำชาติตัวเองสู่ความยิ่งใหญ่แบบมหากาพย์ขนาดนี้

บทความนี้เขียนด้วยมุมมองที่ไม่รอบด้านนัก หากมีใครอยากเสนอแนะข้อมูลเชิญได้เลยค่ะ

หวังว่าบทความนี้คงให้ความรู้กับทุกท่านได้ไม่มากก็น้อยนะคะ (แน่ล่ะ ไม่มากก็ต้องน้อยสิ )
มันจะมีบางจุดที่เราอ่านๆแล้วรู้สึกเหมือนมันขาดๆหายๆไป ก็ขออภัยมา ณ ทีนี้ด้วย

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้จ้า ..

:: Re-up 16/01/2556
< >

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น