Popular Posts

โจเซฟ เป็นเพลย์บอยผู้เสพย์ติดหนังโป๊ / เจมส์ เป็นผู้กำกับที่อยากทำหนังรักร่วมเพศ





จากนักแสดงเด็กตาหยีผู้เป็นที่รัก สู่เก้าอี้ผู้กำกับ หนังรักติดเรต เป็นครั้งแรก

ปีที่แล้ว โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ พา Don Jon : Adddiction หนังที่ตัวเอง ลงทุน เขียนบท/กำกับ และ แสดงเอง เรื่องแรกออกตะลุยฉายตามงานเทศกาลภาพยนตร์แบบเก็บเรียบ โดยเป้าหมายแรกของโจคงหนีไม่พ้นการสร้างฐานคนดู และการทดลองฉายภาพยนตร์แนว โรแมนติค-ดราม่าของตัวเองก่อน ซึ่งการชิมลางฉายในงานเทศกาล ที่ทุกคนมาเพื่อดูหนังทางเลือก และต้อนรับหนังทุกแนวอยู่แล้ว ถือเป็นทางเลือกที่ผู้กำกับหน้าใหม่หลายคนเลือก ซึ่งส่วนใหญ่ มันก็ประสบความสำเร็จดีเสียด้วย

เดือนมกราคม มีงานเทศกาลหนังสำคัญ ที่หลายคนเรียกว่าเป็นใบเบิกทางไปสู่เวทีอื่นๆ (และอาจวัดกระแสในระดับเวทีใหญ่ได้เลย) นั่นคือ Sundance Film Festiva

โจเองก็พา Don Jon ไปฉายที่ Sundance เป็นที่แรก ไปที่เบอร์ลินในเดือนกุมภาพันธ์ พอมีนาคมก็พา Don Jon ไปเทศกาลศิลปะวัยรุ่นอย่าง SXSW อีก (South by Southwest Film Festival) คนแบบโจ นอกจากที่เขาจะเดินพาเหรดบนพรมแดงเป็นว่าเล่นแล้ว เวทีที่น่าจะเหมาะกับเขาที่สุดน่าจะเป็น SXSW นี่แหละ โจเอา Don Jon ไปฉาย พร้อมกับ ปาฐกถาเร้าใจ มีเสน่ห์ชวนหลงใหลของเขา แบบที่ เชื่อว่า หลายคนรักหนังของเขาจากการฟังโจพูด มากกว่าการได้ดูหนังของเขาเสียอีก



โจมางานนี้แทบทุกปี แม้จะไม่มีหนังมาฉาย เพราะเทศกาลศิลปะที่เท็กซัสงานนี้ จะมีความเป็นวัยรุ่นและมีแนวทางเฉพาะกว่าเทศกาลหนังอื่นๆ เพราะ การฉายหนังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น ไม่ใช่เวทีหลัก เพราะนี่คือ เทศกาลที่รวมการแสดงหลากหลาย ทั้งดนตรี หนัง งานศิลปะ และ วิทยาการสมัยใหม่ ฯลฯ ใครอยากเทสตลาดวัยรุ่น ให้เอาหนังมาฉายในงานนี้



หลัง SXSX Don Jon ก็ตามเก็บเวทีใหญ่เกือบครบทุกเวที กว่าจะได้ World Premiere ก็ปลายๆปี 2013 นั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่า เขาเก็บสะสมแฟนหนังและกระแสตอบรับมาแล้วอย่างดีเยี่ยม เมื่อหนังได้ฉายจริงๆ ผลตอบรับก็ถือว่าดีเกินไป สำหรับหนังทุนต่ำ สายเทศกาล แต่อย่าลืมว่า แม้หน้าหนังจะดูเป็นหนังเทศกาล แต่ก็รวมแต่ดาราพรีเมียมไว้ทั้งนั้น

ซึ่งตัวโจเองก็ไม่ปฏิเสธว่า ที่หนังเข้ามาได้ไกลขนาดนี้ เพราะความโชคดีของตัวเอง ที่พึ่งผ่านงานใหญ่อย่าง The Dark Knight Rises มา และสามารถหว่านล้อมให้ดาราดังๆมาเล่นหนังตัวเองได้ แม้ไม่ได้ค่าตัวในเรตปกติ ซึ่งเขายอมรับว่า หนังที่มี โจ-กอร์ดอน เป็นพระเอก สกาเล็ต โจแฮนสันเป็นนางเอก และยังมี จูลีแอน มัวร์ ช่วย Don Jon ไว้ได้เยอะเลยทีเดียว

นั่นคือเส้นทางของ โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ ครั้งแรกกับการทำหนังขนาดยาวเพื่อฉายจริง



ซึ่งทุกคนอาจลืมไปว่า ... ในเดือนเดียวกัน ปีเดียวกันกับที่ Don Jon ได้เข้าฉายตามงานเทศกาล พร้อมกับหน้าหล่อๆของ โจ-กอร์ดอน ... เจมส์ ฟรานส์โก ก็เดินสายพาหนังทดลอง (สารคดีกึ่งฟิคชั่น) "การถ่ายหนังโป๊เกย์(ซาดิสม์)" ของเขาอยู่เช่นกัน เพียงแต่ หนังเกย์ของ เจมส์ มันไม่มี นางเอกสุดเซ็ก และ นักแสดงหญิงมากฝีมืออยู่ด้วยแค่นั้นเอง ..

  
 ...




ฟุตเทจที่หายไป.. สู่หนัง(เกย์)อีกเรื่องจากฝีมือกำกับของ James Franco

อันที่จริง การเอาเจมส์กับโจมาเทียบกัน มันก็ไม่ยุติธรรมนัก .. เจมส์ ไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เขามีหนังยาวเรื่องแรกของตัวเองตอนอายุ 27 (ขณะที่โจพึ่งมาทำหนังยาวตอน 32) และยังคงผันตัวไปกำกับหนังอยู่เรื่อยๆ ขณะที่ยังคงรับงานแสดงอยู่ด้วยเช่นกัน แม้หนังของเจมส์ จะแทบถือเอาเครดิตมาคุยโม้ไม่ได้มากนัก  แต่ประสบการและชั้นเชิง ยังเหนือกว่าโจอยู่มากโข

ขณะที่โจ เริ่มต้นทำหนังโรแมนติคดราม่า เจมส์ก็กระโดดไปทำหนังเควียร์ ซะแล้ว
(Queer คือไรเดี๋ยวจะพยายามค่อยๆอธิบายอีกที)



มกราคม 2013 หนังขนาดยาวที่ เจมส์ กำกับเองเป็นเรื่องที่ 8 ในชีวิต อย่าง Interior. Leather Bar. ได้ร่วมฉายในงาน Sundance ด้วยเช่นกัน ต่อด้วยเบอร์ลิน ในเยอรมัน, อิฟตันบูล ในตุรกี, เออบัน นอแมดในไต้หวัน, ซีแอทเทิล ในอเมริกา,ชอง อลิเซ่ ในฝรั่งเศส และอีกหลายเทศกาลทั่วโลก ... แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างแบบ Don Jon แต่ก็ทำให้แฟนหนังได้ผ่านหน้าผ่านตาไปพอสมควร ที่น่าเสียดายคือหนังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าไรนัก อาจเพราะความเป็นหนังกึ่งสารคดี และ ความเฉพาะกลุ่มของมันนี่เอง ...

เดือนมกรา เดือนเดียวกับที่เจมส์ พาหนังเรื่องแรกของตัวเองไปฉายใน Sundance เขาก็ได้แถลงในงาน Sundance นั่นแหละว่า ตนเองกำลังจะทำหนังเรื่องใหม่ เรื่อง "American Tabloid" หนังที่จะสร้างจากวรรณกรรมเรื่องดังในชื่อเดียวกันเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ 3 คนที่เป็นคนใกล้ชิด 3 คนสุดท้ายที่อยู่กับ JFK และเรื่องพันพันอื้อฉาวเกี่ยวกับวงการ FBI,CIA และ วงการมาเฟีย

ขณะ Interior. Leather Bar. กำลังเดินสาย เจมส์ กลับไปโผล่ที่ Cannes Film Festival ในเดือนพฤษภาคม พร้อมเปิดตัวหนังอีกเรื่องคือ As I Lay Dying และขณะที่ยังพาหนัง 2 เรื่องเดินสายตามงานประกวด เดือนสิงหาคม เขาก็เพิ่มหนังเข้าไปในลิสต์เดินสายอีกเรื่องคือ Child of God นี่ยังไม่นับว่าในปี 2013 เขามีหนังเรื่องอื่นที่เข้าโรงฉายอีก 6 เรื่องนะ




แต่เรื่องที่เราอยากจะพูดถึงจริงๆคือ หนังต้นปีของเขาอย่าง Interior. Leather Bar. นี่แหละ
Interior. Leather Bar. พึ่งได้วกกลับเข้ามาฉายในอเมริกาแบบจำกัดโรงเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2014 นี่เอง ..

ด้วยความที่หนังเกือบๆจะเป็นเชิงทดลอง นั่นคือ สารคดีกึ่งฟิคชั่น ไอเดียหนังเริ่มจากหนังเก่าของ Al pacino ในปี 1980 อย่าง Cruising อันว่าด้วยเรื่องของ การสืบสวนของนายตำรวจในคดีเกย์ถูกฆ่าตายด้วยการฆ่าแบบโหดร้ายทารุณ ซึ่งพัวพันกับคลับใต้ดินลึกลับที่เป็นคลับ S&M ตอนที่ Crusing ถ่ายทำเสร็จเป็นครั้งแรก หนังถูกแปะหัวด้วย Rate X แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่แล้ว หนัง X นั้นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการเผยแพร่ สตูดิโอจึงตัดสินใจ หั่นฉากที่คาดว่าจะติดเรต X ออกทั้งหมด รวมเวลาทั้งสิ้นกว่า 40 นาที ทำให้หนังได้ Rate R มาในที่สุด

และ 40 นาทีที่หายไปที่ว่านั้น กลายมาเป็นหนัง Interior. Leather Bar. ของเจมส์ และ ทราวิส นั่นเอง



อ้อ ... ลืมบอกไปว่า หนังเรื่องนี้ เจมส์กำกับร่วมกับเพื่อนสนิท ทราวิส แมธธิว มือเขียนบทและผู้กำกับหนังสารคดี ผู้ซึ่งมีคำบรรยายตัวเองว่า "ผู้กำักับและคนเขียนบทหนัง ผู้สนใจในเรื่องความรักของชาวรักร่วมเพศ และความสัมพันธ์ทางเพศอันลุ่มลึกของพวกเขา" ซึ่งนักวิจารณ์บางคนก็เรียก ทราวิส ว่าเป็น มือเขียนบทและผู้กำกับสายเควียร์ ตอนที่เขาทำหนังรักเรื่อง I Want Your Love (และหนังสารคดีแนวชายรักชายอีกหลายเรื่อง) นั่นเอง

รากศัพท์ของการใช้คำว่า Queer อาจลึกลับและซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย เพราะอาจต้องยกเอา Queer Theory มาอธิบายกันเลยทีเดียว แต่ถ้าจะให้พูดให้ฟังเข้าใจง่ายและแพร่หลาย คงต้องบอกว่า Queer อาจหมายถึง หนังหรือพฤติกรรมที่อิงถึง การรักร่วมเพศ หรือ LGBT ซึ่ง ณ ปัจจุบันภาพยนตร์หลายเรื่องได้พยายามสอดแทรกแนวคิดนี้ลงไปในหนังมากมาย ต่อให้หนังเหล่านั้นจะไม่มีการพูดถึงรักร่วมเพศเลยก็ตาม (เช่น การแฝงคำพูดหรือแนวคิดสนับสนุนให้คนรักร่วมเพศออกมาแสดงตัวตน มากกว่าหลบซ่อน)



เจมส์บอกว่า "เขาเป็นแฟนตัวยงของ 50 Shades Of Gray" ตอนทำหนังเรื่องนี้ มันเลยเต็มไปด้วยเรื่องทำนองนั้น นั่นคือ S&M (ซาดิสม์ และ มาโซคิส คือ พวกชอบใช้ความรุนแรง และพวกที่ชอบถูกใช้ความรุนแรง) แต่นี่ไม่ใช่หนังที่ขายเรื่องราวหรือพลอตเรื่อง แต่มันเป็นหนังที่ขายประเด็น หนังดำเนินเรื่องกึ่งสารคดี มีการนั่งสัมภาษณ์ นั่งคุย เบื้องหลังการถ่ายทำหนัง เหตุผลหนึ่งที่เจมส์เลือก Cruising เป็นวัตถุดิบอาจเพราะ Cruising เป็นเหมือนหนังที่อาจพูหยิบยกประเด็น "รักร่วมเพศ" ออกมาพูดถึงในแง่ของ วัฒนธรรมสายรองของสังคม (คลับเกย์ใต้ดินลึกลับ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยแก่คนนอก เนื่องจากในยุคนั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับ) เป็นเรื่องแรกๆและทำให้เกิดการฉุกคิดในระดับสังคมอยู่พอสมควร




แม้ .. Interior. Leather Bar. จะกระแสไม่ดีนักจากการเดินสายตามงานเทศกาล อาจด้วยเพราะตัวหนังเองก็คัดกรองผู้ชมส่วนหนึ่งอยู่แล้ว และยังพูดถึงประเด็นที่อาจจะยังไม่แพร่หลายในวงกว้างสำหรับคอหนังปกติทั่วไป และเหนืออื่นใด มันอาจดำเนินอยู่บนกฏง่ายๆ คือ "หนังมันไม่สนุก" ก็ได้ ขณะที่ Don Jon นั้นสร้างความประทับใจได้มากกว่า เลยถูกพูดถึงมากกว่า ทั้งที่เป็นหนังที่ออกมาในปัจจัยที่คล้ายคลึงกัน

"นักแสดงวัยหนุ่ม ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ทำหนังฉายงานเทศกาล พูดถึงความรักและฉากติดเรต"

โจ พูดถึง ความรักของ หญิง/ชาย ในอุดมคติและในความเป็นจริง
เจมส์ พูดถึง ความรักของ ชาย/ชาย ที่ถูกกดไว้ด้วยบรรทัดฐานทางสังคม

ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม แต่ Interior. Leather Bar. และ Don Jon ต่างก็เป็นก้าวสำคัญในอาชีพผู้กำกับ ของ 2 นักแสดงอย่าง James Fransco และ Josept Gordon-Levitt ในอนาคต พวกเขาอาจก้าวไปบนเวทีออสการ์ ในฐานะ "ผู้กำกับ" ก็ได้ ... ใครจะรู้ ...










< >

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น