Popular Posts

MIYAVI / MIKE SHINODA / ORANGE RANGE : ตัวตน / ดนตรี / ระดับโลก




คำสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของ MIYAVI

"ถ้าผมเลียนแบบศิลปินฝรั่ง มันคงต้องออกมาห่วยแตกแน่ๆ
แต่ผมพยายามเป็นตัวผมเองให้มากที่สุด ผมถึงมาถึงจุดนี้ได้
นอกจากภาษาที่ใช้แล้ว (ภาษาอังกฤษ)
ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม ผมก็ยังเป็นคนเดิม

ผมถือว่าตัวเองเป็นตัวแทนคนญี่ปุ่น
กับการก้าวไปอีกขั้นในระดับอินเตอร์ฯ

มันยากมากนะการการทำให้ดนตรีของเราโด่งดังไปทั่วโลกได้
กับการที่ศิลปินเอเชียสักคนจะได้มีเวิร์ลทัวร์
ผมหมายถึง มันยากที่จะทำให้ดนตรีก้าวข้ามภาษาที่แตกต่างกันได้

ผมถึงได้เรียนรู้ว่า ผมจำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษ
มันยากมากจริงๆ ภาษาอังกฤษกับคนญี่ปุ่น แต่ผมก็จำเป็นต้องเรียนรู้มัน

ถ้าคุณเลียนแบบคนอื่น คุณก็จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ
ผมพยายามทำให้ดนตรีของตัวเองมีความเป็นญี่ปุ่นมากที่สุด
แบบซามิเซน คุณรู้จักซามิเซนมั้ย
มันเป็นเครื่องดนตรีญี่ปุ่น นั่นแหละ กลิ่นอายของดนตรีของผม
มันคือความเป็นคนญี่ปุ่น เกรี้ยวกราด รุนแรง..."




มิยาบิใช้คำว่า "ก้าวไปอีกขั้นในระดับอินเตอร์"
แทนที่จะเป็นคำว่า "โด่งดังในระดับโลก"
ซึ่งน่าจะแปลว่า เขาไม่ได้มองว่าตัวเองโด่งดัง หรือยิ่งใหญ่กว่าใครๆ
แม้จะมีเวิร์ลทัวร์ ในหลายประเทศทั่วโลกก็ตามที
เขายังคงเป็น
"ศิลปินชาวญี่ปุ่นของแฟนๆ" อยู่ดี



//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เมื่อเราได้ยินแบบนั้น ทำให้เราคิดถึง ศิลปินระดับโลกอีกคน
เป็นญี่ปุ่น-อเมริกัน
เขาคนนั้นคือ MIKE SHINODA แห่ง LINKIN PARK
เป็นบทสัมภาษณ์ตอนที่ ไมค์ ต้องมาทำซาวด์แทร็คให้ภาพยนตร์เรื่อง THE RAID : REDEMPTION
ซึ่งเป็นภาพยนตร์สัญชาติอินโดนีเซีย



"ทีมงานจากโซนี่เข้ามาหาผมแล้วบอกว่า
เขาประทับใจกับผลงานของผมตอนทำ Fort Minor มาก
เลยอยากให้มาทำเพลงประกอบภาพยนตร์ให้หน่อย

ผมตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะได้ทำ "SOUNDTRACK" หนังอย่างจริงๆจังๆ
ไม่ใช่แค่เอาเพลงของ LP ไปใช้เป็นเพลงประกอบ
คราวนี้ผมจะได้ทำเพลงประกอบ "จริงๆ"

ในเมื่อมันเป็นหนังสัญชาติอินโดนีเซีย
ในตอนเริ่มต้น ผมเองก็มีความคิดแรกๆว่า
หรือจะต้องใช้ดนตรีพื้นบ้านของอินโดฯเป็นส่วนประกอบ?
แต่เมื่อได้ศึกษาจริงๆแล้ว ผมคิดว่าผมไม่อยากใช้มันนะ

ไม่ใช่เพราะผมมองข้ามเครื่องดนตรีพื้นบ้าน
แต่เป็นเพราะ ผมไม่อยากใช้วัตถุดิบ ที่ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับมัน
ผมหาข้อมูลเครื่องดนตรีพื้นบ้านของอินโดฯ
ผมได้ลองฟังมันจากคลิป
แต่มันไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยเลย

ขณะที่ดูหนัง มีบางฉากที่ผมเห็นแล้วนึกถึงเครื่องดนตรีบางชิ้นอย่าง ไทโกะ (กลองญี่ปุ่น)
บางฉากเราก็รู้สึกว่า .. 'น่าจะต้องใช้เพลงอินโดฯบ้างนะ'
สุดท้ายผมและโจ(ผู้กำกับ) ก็ไม่ได้ใช้มัน
มันไม่มีอะไรมากว่า .. แค่ความรู้สึกว่าที่ว่า
'นั่นไม่ใช่เราเลย'

ผมไปทัวร์คอนเสิร์ตมาทั่วโลก
ได้พบเห็นนักดนตรี,ผู้คน,เครื่องดนตรี มามากมาย
ผมมีแฟนๆที่ยอดเยี่ยม และแฟนๆในดินโดฯด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่ว่าผมไม่เคารพดนตรีและคนอินโดฯ
ผมแค่รู้สึกว่า ที่ผมไม่ได้ใช้ดนตรีและเพลงจากท้องถิ่นเลย
เพราะผมไม่ใช่คนอินโดนีเซียแค่นั้นเอง

ผมอยากทำอะไรแบบที่เป็นตัวของผมเอง
แบบที่ผมถนัด..."




แง่คิดหนึ่งจากการผลิตผลงานของไมค์คือ แม้ในความรู้สึกที่ว่า การนำเครื่องดนตรีพื้นบ้านมาใช้ อาจทำให้ผลงานของเขาเป็นที่ฮือฮามากกว่า ไม่ว่าจะทำออกมาได้เพอร์เฟคหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจะได้รับแน่ๆคือ "ได้ใจคนอินโดฯ" ขณะที่อาจได้กระแสเรื่อง การทำเพลงในแนวทางที่แตกต่างออกไปด้วย แต่ไมค์ก็เลือกที่จะไม่ทำ ด้วยเหตุผลที่ว่า "นั่นไม่ใช่ตัวเขาเลย"

เพราะทำดนตรีแบบที่อยากทำ เขาจึงมาถึงจุดนี้ได้จนทุกวันนี้ ..

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เรามีศิลปินที่ก้าวไปถึงระดับอินเตอร์มาแล้ว
เรามี่ศิลปินญี่ปุ่น-อเมริกันที่เป็นศิลปินระดับโลกอยู่แล้ว
ขอพากลับมาดูศิลปินภายในเกาะญี่ปุ่นอีกครั้ง

พวกเขามาจากโอกินาว่า เมืองแห่งฤดูร้อน ชายหาด ดอกไม้ และ ผืนทรายร้อนๆ
พวกเขาคือส่วนผสมอันหลากหลายของแนวทางดนตรี
ทั้ง ฮิปฮอป,ร็อค,ป็อป,บลูส์,ดนตรีพื้นบ้าน
พวกเขาคือ ORANGE RANGE



กลุ่มเพื่อนมัธยมปลายที่เริ่มจากการฟอร์มวง เพราะอยากทำเพลงแบบที่ตัวเองชอบ
ต่างคน ต่างมีสไตล์ของตัวเอง
พวกเขาพยายามหาทางให้ทุกอย่างลงตัว และได้ทำดนตรีแบบที่ตัวเองชอบไปด้วย

หลายคนที่ได้ฟังเพลงของพวกเขาต่างบอกว่า มันคือส่วนผสมที่ลงตัว
ดนตรีจากโอกินาว่า .. เมืองที่เคยเป็นฐานทัพของอเมริกา
เมืองที่ดนตรีหลากหลายแนวได้ถูกผสมปนเปกัน

ถึงอย่างนั้น นาโอโตะหัวหน้าวงก็ได้ออกมาบอกในภายหลังว่า
เพลงของพวกเขา มีแรงขับเคลื่อนมาจาก "สิ่งที่อยู่ข้างในตัว" ของพวกเขาเอง
ไม่ใช่แรงบรรดาลใจจากดนตรีของโอกินาว่า

เริ่มจากการแสดงท้องถิ่นแถวบ้าน สู่วงอินดี้ยอดนิยม
สังกัดค่ายเล็ก และการเข้าสู่ ORICON CHART ครั้งแรกในปี 2002
และได้เซนต์สัญญากับค่ายใหญ่
ก่อนจะดังระเบิด เมื่อเพลงของพวกเขา
ถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบในการ์ตูนอนิเมะเรื่องดังแบบ นารูโตะ ในปี 2003

วงอินดี้ร็อคฮิปฮอปติดกลิ่นพื้นบ้านวงนี้ ทำให้วงการเพลงในญี่ปุ่นตอนนั้นตื่นตัว
กับวงร็อคที่มีกลิ่นดนตรีหลากหลาย
พวกเขาโด่งดัง พร้อมซิงเกิ้ลฮิตถล่มทลาย ส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้เป็นเพลงประกอบ
ละคร,หนัง,การ์ตูน ล้วนได้รับความนิยม เป็นที่รู้จักมากมาย

ในปี 2005
คิทาโร่ มือกลองของวงที่เป็นผู้ริเริ่มความคิดฟอร์มวงกับนาโอโตะได้ลาออกจากวง
ด้วยเหตุผลว่า

"เพลงของวงเริ่มเป็นฮิปฮอปมากเกินไป ไม่ใช่แนวร็อคแบบที่เคยคิดกันไว้"

ในปีต่อๆมาพวกเขามีเพลงฮิตแบบ Sayonara,Ika summer,Ikenai Taiyo,O2 และที่สุด
ในปี 2010 พวกเขาก็มีความคิดว่า
การสังกัดค่ายใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการอีกต่อไป
มันเริ่มมีข้อจำกัดที่ลำบากใจขึ้นเรื่อยๆ

ปีเดียวกันนั้นพวกเขาตัดสินใจออกจากค่ายเดิม
และเปิดตัวค่ายเพลงใหม่ของตัวเอง
ด้วยเหตุผลว่า

"อยากมีอิสระในการผลิตผลงานมากกว่านี้"

นาโอโตะ ผู้เป็นหัวหน้าและนักแต่งเพลงหลักของวง
ได้อธิบายเรื่องราวการผลิตผลงานภายใต้สังกัดของตัวเองไว้ว่า

"ตอนที่เราอยู่กับค่ายเก่า บางครั้งมันก็มีเพลงแบบที่เราชอบ
แต่ค่ายไม่ชอบ แฟนๆก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ยินเพลงนั้น
และเราเอง ไม่สามารถกำหนดอะไรได้ทั้งนั้น
ทั้งเรื่องเวลา และวันวางจำหน่าย แต่เมื่อเราออกมาำทำค่ายของตัวเอง
เราก็ทำทุกอย่างนั่นได้ตามใจ แบบที่เราอยากทำ

มันแตกต่างมากจริงๆครับ
อารมณ์มันจะแบบ
'เห้ย อยากออกเพลงวันนี้เลย~'
เราก็ออกเพลงของเราได้ัทันที

เราอยากให้คนฟังได้ฟังเพลงแบบนี้
พวกเขาก็จะได้ฟังกันเลย แล้วฟีดแบคก็จะมาทันที

ตอนที่ประเทศเราประสบอุบัติภัย
ตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่า
'ต้องทำอะไรสักอย่าง'
ผมหมายถึง
ทุกๆคนในประเทศ อยากออกมาทำอะไรสักอย่างเพื่อประเทศ

เราเลยแต่งเพลง 'ONE' และปล่อยให้ดาวน์โหลดฟรี
ฟีดแบ็คมีหลากหลาย และเราดีใจมากที่ได้ทำแบบนั้น
อย่างน้อยเป็นการช่วยปลอบประโลมได้ส่วนนึง

มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เราออกทัวร์ทั่วประเทศ
บรรยากาศในวงมาคุมาก
อาจเพราะ เซตลิสต์เพลงที่เราต้องเล่นนั้น
มันทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่เวิร์ค
แต่เราก็ต้องทำมันต่อไป เพราะเราไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาล้มเลิกได้กลางครัน

ผมว่าสมาชิกในวงก็มองเห็นและรู้สึก
ในที่สุด เราก็ตัดสินใจพักวง และเมื่อเรากลับมาอีกครั้ง
เรารีเซตทุกอย่างใหม่
และกลับมารู้สึกว่า นี่มันเจ๋งจริงๆนะ
เรากลับมาเป็นร็อคแบบที่เราต้องการ ..."



 

มีศิลปินบางคน..
ที่เลือกขายสไตล์และตัวตน จนพาตัวเองก้าวไปสู่ระดับอินเตอร์ โดยที่ไม่ได้ละทิ้งความเป็น
"ตัวตน" ออกไปเลยสักนิด

มีศิลปินระดับโลกบางคน..
ที่ซื่อสัตย์กับดนตรีของตัวเอง มากกว่าเลือกทำสิ่งที่อาจได้กระแสหรือความนิยม แต่อาจต้องแลกด้วยความรู้สึกว่า "นี่มันไม่ใช่ตัวเขาเลย"

มีกลุ่มคนบางกลุ่ม..
ที่สร้างชื่อจากแนวเพลงนอกกระแส แม้จะผ่านช่วงเวลารุ่งเรืองกับบทเพลงบนชาร์ตยอดฮิตมาแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็เลือกกลับไปเป็น "วงดนตรีนอกกระแส" แบบเดิมๆอยู่ดี


สุดท้ายแล้ว ไม่สำคัญว่าคุณอยากเป็นอะไร
สิ่งสำคัญคือ คุณคือใคร

"ถ้าคุณเลียนแบบคนอื่น คุณก็จะเป็นเหมือนคนอื่นๆ"

เป็นตัวคุณเองน่ะ ดีที่สุดแล้ว


Inspire by
MIYAVI - MIKE SHINODA - ORANGE RANGE


//////////////

พอดีดูรายการ MTV81 แล้วมีสกู๊ปมิยาบิมาพอดี ฟังสัมภาษณ์ไปก็คิดถึงไมค์ขึ้นมา เลยมาลองเขียนเทียบๆกัน เขียนของมิยาบิซังเสร็จ ก็เขียนของไมค์ที่เคยอ่านมานานมากแล้ว ตอนขียนของไมค์เรื่องดนตรีพื้นบ้าน ก็นึกถึงวงนี้ขึ้นมาโดยอัติโนมัติ เลยเขียนเด็กส้มต่อเลย แต่พอดีสัมภาษณ์ ORANGE RANGE นี่ไม่ค่อยได้อ่านเท่าไหร่ ฟังแต่เพลง ตามแต่ข่าว เลยต้องมารื้อหากันนานเหมือนกัน แอบแปลรวบรัดตัดตอนด้วย ฮ่าๆ

แต่ขอแซวคำเดียว ทำไมทรงแอฟโฟร์ทำร้ายทั่นยามาโตะได้ขนาดนั้น
ถึงขั้นดับดิ้นเลย บอกตรงๆ -*- ใครบอกไอ่นี้จะโตมาหล่อนี่เถียงขาดใจเลย

POPROCK
:: https://www.facebook.com/poprockonfilm
:: http://poprockonblog.blogspot.com
:: http://twitter.com/alfredpoprock
< >

RUSH : เรื่องโง่เง่าเกี่ยวกับความรัก


ขณะที่คุณได้อ่านนี่ เซบาสเตียน เวทเทล นักแข่งรถสูตร 1 ชาวเยอรมันพึ่งเปิดแชมเปญฉลองแชมป์สมัยที่ 4 ของตัวเอง แม้จะยังเหลือสนามสุึดท้ายให้เก็บคะแนนเพิ่ม แต่ตอนนี้ไม่มีใครตามเขาทันแล้ว เขามีสถิติมากมาย ทั้งเป็นนักแข่งที่เด็กที่สุดที่เคยได้รองแชมป์ เด็กที่สุดที่เคยที่เคยได้แชมป์ และ เป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่เคยครองแชมป์ 4 สมัยติดต่อกัน และที่สำคัญ เขาอายุแค่ 26

และยังนิสัยดี อ่อนน้อม เฉลียวฉลาด ตลก และเป็นที่รักของหลายๆคน
นั่นไม่ใช่คาแรคเตอร์ที่และคุณสมบัติที่หาได้ง่ายนักในตัวแชมป์เปี้ยน ...


นิกิ เลาดา ถ่ายรูปกับแชมป์โลกคนปัจจุบัน เซบาสเตียน เวทเทล และ มาร์ก เว็บเบอร์ นักแข่งร่วมทีม เรดบูลล์

ในภาพยนตร์เรื่อง RUSH จะพาเราไปดู 2 แชมป์เปียนส์ ผู้มีคาแรคเตอร์ต่างกันสุดขั้ว
อีกคนเพลย์บอย หนุ่มนักปาร์ตี้ มุทะลุ และโคตรป๊อปปูล่า
ขณะที่ อีกคนกลับเป็นพวกซีเรียส จริงจัง พูดจาไม่ถนอมน้ำใจใคร และไม่ค่อยมีคนชอบขี้หน้าเขาเท่าไรนัก

ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเป็น 2 ขั้ว คาแรคเตอร์ของแชมเปียนแบบที่เราคุ้นเคย

ในภาพยนต์เรื่อง RUSH นั้น James Hunt บอกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ว่าสาวๆชอบนักแข่ง อาจเพราะว่าพวกเธอมองว่าพวกเขานั่นโง่เง่าที่เอาตัวเองไปผูกกับความเป็นความตาย กับแค่การได้ขับรถวนเป็นวงกลม และความโง่เง่านั่นเองที่พวกเธอมองว่ามันมีสเน่ห์เหลือเกิน

ในประโยคต่อมา ตอนที่ผู้จัดการทีมของเจมส์ ฮันท์บอกว่า
"ผู้ชาย กับ ผู้หญิงเกิดมาคู่กัน ผู้ชาย รักผู้หญิง
แต่อยากรู้ความจริงมั้ย .. ผู้ชายรัก "รถ" มากกว่า"
แล้วพวกผู้ชายก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง กับมุกตลกกึ่งจริงกึ่งเล่นของตัวเอง ..

เพราะเจมส์(ในหนัง)ใช้คำว่า "โง่" กับพฤติกรรมของบรรดานักแข่ง
เราเลยนำมันมาใช้ต่อ และนำมาตั้งเป็นชื่อเรื่อง
แต่ว่านะ .. การยอมเสี่ยงตายให้กับเรื่องโง่เง่า ..
นั่นมันเป็นการกระทำของคนที่มี "ความรัก" ไม่ใช่หรือ?

RUSH เริ่มต้นด้วยสิ่งเหล่านั้น
ผู้ชาย ผู้หญิง รถ ความรัก
จะว่าไปแล้วนี่คือหนังที่เปิดปูมเรื่องความรักได้อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว

(คำเตือน : บทความยาวมาก และมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์)



จุดเริ่มต้นของ RUSH .. และปีเตอร์ มอแกน

ปีเตอร์ มอร์แกนเป็นนักเขียนบทชื่อดัง เขาเป็นนักเขียนประเภทที่ใช้เวลาและข้อมูลในการเขียนบทภาพยนต์แต่ละเรื่องนานมาก และบทภาพยนตร์ของเขามักเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายเสมอ

ภรรยาของปีเตอร์ มอร์แกน เป็นคนออสเตรีย พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันในเีวียนนา ใครๆต่างก็รู้จักคนดังของออสเตรียอย่าง นิกิ เลาดา ดี .. ในวันหนึ่งภาพของชีวิตและการแข่งขันกับคู่ปรับตลอดกาลของนิกิ อย่าง เจมส์ ฮันท์ ก็ลอยขึ้นมาในหัวของมอร์แกน เขาคิดว่าภาพนั้นมันน่าดึงดูดจริงๆ ...

ปีเตอร์ศึกษาประวัติของการต่อสู้ของคนทั้งคู่ แล้วพยายามหาพลอตหลักที่ต้องการ แล้วเขาก็พบว่า ชีวิตของนิกิน่าสนใจมาก ภาพที่เขาอยากเขียนถึงในครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องราวของนิกิคือ ฉากที่ฮันท์เข้ามาเยี่ยมนิกิที่นอนรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาล

มันคือภาพของชายผู้มีใบหน้างดงาม กับ ชายอีกคนที่สูญสิ้นความมั่นใจเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเอง

ปีเตอร์เล่าว่า นิกิเคยถูกฮันท์เรียกว่า The Rat และเมื่อหน้าเค้าเสียโฉม เค้าจะถูกเรียกว่าอะไรล่ะ  .. นั่นน่ะ น่าสนใจจริงๆ  และเป็นสิ่งที่เขาอยากจะเขียนถึง เรื่องราวชีวิตของ 2 นักแข่งผู้แตกต่างกันทุกด้าน ตั้งแต่ทัศนคติในการขับ,การใช้ชีวิต,ความตาย,ผู้หญิง

ทุกๆอย่าง..



ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน และทะเลาะกัน กลายเป็นคู่แข่งกัน เอาชนะกัน อีกคนก้าวไปสู่จุดสูงสุดได้เร็วกว่า ส่วนอีกคนก็ตามมาอย่างไม่ย่อท้อ และพวกเขาก็แข่งขันบนสนามเดียวกันอีกครั้ง จนกระทั่งในสนามสุดท้ายที่ญี่ปุ่น แต่ข้อสำคัญคือ เรื่องราวจริงๆมันเริ่มจากตรงไหน? ฤดูกาลแข่งขันในปี 1976 เหรอ?

สมมุติว่าคุณเขียนให้ฤดูกาลเริ่มต้นในหน้าที่ 27 แต่เรื่องราวมันไม่ได้เริ่มที่ตรงนั้น มันเริ่มต้นในในหน้าที่ 50 หรือ 60 ปีเตอร์บอกว่า เขางมโข่งกับการเขียนบทอยู่นานทีเดียว ว่าอยากเล่าเรื่องแบบไหน และควรไปเริ่มที่ตรงไหน จนกระทั่งเขาค้นพบว่า ควรแบ่งมันออกเป็น 2 พาร์ท ครึ่งแรก และ ครึ่งหลัง โดยเขากำหนดให้อุบัติเหตุของนิกิอยู่ในครึ่งแรก และเรื่องราวที่เหลือคือครึ่งหลัง

ปีเตอร์ยอมรับว่า เขาพยายามทำให้การชนและเหตุการณ์ที่ทำลายใบหน้าของนิกิดูรุนแรงกว่าในความ เป็นจริง เพราะว่า... อะไรที่มันนอกเหนือจากเรื่องจริงไปบ้าง มันฟังดูสนุกกว่าเสมอ ปีเตอร์อยากเห็นการเห็นอกเห็นใจกันระหว่างศัตรูคู่แค้น ไม่มีใครคนไหนเรียกใครอีกว่าเป็นศัตรู โดยที่เขาไม่ได้ให้เกียรติกับคนคนนั้น นั่นคือความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ พวกเขานับถือซึ่งกันและกัน ปีเตอร์บอกว่า นั่นถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เราสามารถมอบให้ศัตรูได้เลยนะ

ความนับถือซึ่งกันและกัน ..




บทภาพยนตร์และงานกำกับของ รอน โฮ เวิร์ด

ผลงานของมอร์แกน มักเดี่ยวข้องกับเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนคนหนึ่ง หรือว่าง่ายๆเขาชอบเขียนชีวประวัติของคนให้เป็นหนัง ด้วยการเติมความเป็นดรามาติคเข้าไปในเรื่องราวของบุคคลนั้น ความโดดเด่นของบทภาพยนตร์ของเขาคือการทำให้ตัวบุคคลดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงตัวละครในหนังแบบหนังชีวประวัติเรื่องอื่นๆ และ บุคคลที่มอร์แกนให้ความสนใจนั้นล้วนเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลในวงการ(ใดวงการหนึ่ง)เสมอ ไม่ว่าจะเป็น
The Queen : ที่พูดถึงผลกระทบต่อราชวงศ์และการเมืองหลังจากการตายของเจ้าหญิงไดอาน่า
Frost/Nixon : เรื่องราวของนักข่าวโทรทัศน์ชื่อดัง เดวิด ฟรอส ที่พยายามจะได้บทสัมภาษณ์จากประธานาธิบดีนิกซ์สัน เพื่อล้วงลึกเบื้องหลังที่ถูกเก็บงำไว้จากคดีวอลเตอร์เกท ที่เกิดขึ้นในยุคของประธานาธิบดีนิกซ์สัน ที่เป็นเหตุที่ทำให้นิกซ์สันต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี
The Last King of Scotland : สร้างจากวรรณกรรมชื่อดัง แต่ก็มีการอิงถึงเหตุการณ์จริงอยู่ด้วย โดยเป็นเรื่องของแพทย์หนุ่มชาวสก็อตที่เดินทางไปยูกันดา เพื่อเป็นแพทย์ส่วนตัวให้กับ อีดี้ อามิน ประธานาธิบดีของยูกันดาที่ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการทางทหาร

ปีเตอร์เคยร่วมงานกับ รอน โฮเวิร์ดมาแล้วตอนที่เขาทำ Frost/Nixon และเมื่อมาถึง RUSH พวกเขาก็ได้ร่วมงานอีกครั้ง และรอนโฮเวิร์ด ก็เหมือนๆกับทีมงานคนอื่นๆ

คือเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ F1 เลย

แม้รอน โฮเวิร์ด จะเคยกำกับหนังเกี่ยวกับรถมาบ้าง แต่รอนบอกว่า ก่อนจะได้มากำกับ RUSH เขาแทบไม่รู้จักวงการ F1 เลย รู้แค่ว่า มันเซ็กซี่ รวดเร็ว และ อันตรายมากๆ ตอนที่เขาได้เห็นบทครั้งแรก มันค่อนข้างจะโอเวอร์ไปสักหน่อย ที่จะมีนักแข่งที่บาดเจ็บถึงขั้นโคม่า กลับมาลงแข่งในอีก 6 สัปดาห์เนี่ยนะ? ใครเขาจะไปเชื่อกัน?

คนที่ไม่เชื่อ อาจเพราะในชีวิตจริงพวกเขาไม่เคยต้องพยายามกลับมาจากความตายแบบ นิกิ




ตอนแรก โปรเจค RUSH เกือบต้องล่ม เพราะหลังจากแคสติงบทของ เจมส์ ฮันท์อยู่นาน ก็ไม่เจอคนที่ "เป๊ะ" แบบที่ บรูห์เป็นกับบท นิกิเลย จนกระทั่งวันหนึ่งรอนได้ดูหนังเรื่อง Thor ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในตอนนั้น เขารู้สึกชอบ ไอ้หนุ่มหัวบลอนด์คนนี้มาก เขาเลยลองถามปีเตอร์ ซึ่งปีเตอร์เองก็โอเค กับลุคของเขา แต่รอน ไม่อาจรู้ได้เลยว่า "คริส" จะเหมาะกับบท เจมส์ ฮันท์หรือไม่ รอนพยายามติดต่อกับใครหลายๆคน แล้ววันหนึ่ง คริส เฮมเวิร์ธ ก็ส่งวิดิโอเทปออดิชั่นในบทเจมส์ ฮันท์มา .. ในตอนนั้นเองรอนก็พบว่า

หนังของเขาได้เริ่มถ่ายทำแล้ว ..

ตอนที่เขาเริ่มต้นศึกษาบทภาพยนตร์ เขามีข้อมูลเกี่ยวกับ F1 น้อยมาก รอนไปเริ่มต้นที่ โมนาโก กรังด์ปรีซ์ เขาไปดูการแข่งขัน .. แล้วเขาก็เข้าใจทันที

"RUSH ช่างเป็นอะไรที่ เฉียบ ฉลาด และ ทำให้ผู้คนรื่นรมย์จริงๆ!" (พูดถึงบทภาพยนตร์)



ก่อนหน้านี้รอนรู้อะไรน้อยมาก และเขาก็คิดว่า ทางเดียวที่จะได้รู้จัก F1 คือต้องไปสัมผัสมันจริงๆ แล้วเขาก็พบว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายในร่างกายล้วนๆ เขาไปสนามแข่ง ฟังเสียง แล้วนึกถึงมัน ก่อนที่จะทอดสายตามองรถที่ผ่านหน้าไป ความรู้สึกของการได้ยืนอยู่บนสะพานที่สั่นตลอดเวลา สะพานนั้นไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้า แต่เขาได้รับโอกาสนั้น และยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าเปรียบกับธรรมชาติแล้ว ความรู้สึกเหมือนตอนที่คุณวิ่งลงจากเนินเขา แล้วฝูงสัตว์วิ่งห้อตะบึงเข้าใส่คุณนั้นแหละ

ความโดดเด่นของ RUSH คือการจำลองสภาพแวดล้อมการแข่งขันในยุค 70's ออกมาได้อย่างสมจริง รอนบอกว่า เขาได้พบกับเจ้าของรถในประวัติศาสตร์ทั้ง 2 คันจริงๆอย่าง McLaren M23 และ Ferrari 312T2 ทีแรกรอนคิดว่า พวกเขาคงเป็นแค่นักสะสม อาจเอารถออกไปแข่งบ้านในงานเทศกาลต่างๆ และเก็บไว้ถ่ายรูปบ้างตามโอกาส แต่ไม่เลย พวกเขานำมันลงแข่ง เคยถูกชน เคยกระเด็นออกนอกสนาม และพวกเขาพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของหนังทันทีที่รอนทาบทาม (เป็นคนขับรถแข่งในสนาม)

เมื่อมีฉากที่รถต้องถูกชน หรือ เสียหาย ทีมงานจึงตัดสินใจสร้างรถจำลองแบบพิเศษขึ้นมา แบบที่รอนบอกว่า นั่งเทียบกันแบบชิ้นต่อชิ้นเลยทีเดียว ซึ่งในประวัติศาสตร์จริงนั้น ตัวรถของเจมส์ มีการเปลี่ยนรูปแบบนิดหน่อย รอนก็ต้องทำตามนั้นเป๊ะ แบบวิดิโอฟุตเทจของจริงที่เคยดู เขาพยายามทำให้ทุกอย่างเหมือนของของจริงมากที่สุด แม้แต่งานออกแบบ และอาร์ต ไดเรคชั่น ยังต้องยกกองกันออกไปคิดแบบติดขอบสนามจริงๆ ใน Brands Hatch, Monaco และ Nurburgring เลยทีเดียว
นิกิ บอกว่า "ฉากการแข่งนั่นทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นอะไรที่สุดยอดมาก แต่คุณต้องลองไปถามคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่พวกเรา (หมายถึงคนในแวดวงนักแข่ง) ผมหมายถึงคนธรรมดา พวกเขาจะชอบมันทั้งหมด เรื่องราวทั้งหมดเลยที่สุดยอด"

เจฟ กอร์ดอน แชมป์โลก แนสคาร์ 4 สมัย เหมาโรงแบบพิเศษพาทีมงานของเขาไปดูหนังเรื่องนี้ และเขาชื่นชมงานกำกับของรอน โฮเวิร์ด อย่างมาก ..

"มันยากนะ กับการที่คุณจะบรรยายความรู้สึกของการแข่งขันในสนามผ่านกล้อง แต่ .. นี่มันเยี่ยมมากๆ ผมหมายถึง มันเยี่ยมอยู่แล้วตรงที่หนังมันเกิดขึ้นท่ามกลางเรื่องราวอันยอดเยี่ยม ของ 2 คาแรคเตอร์ที่เยี่ยมยอด มันถึงได้สุดยอดมากๆ

และส่วนที่ผมชอบที่สุดคือ ผมเป็นแฟนตัวยงของเจมส์ ฮันท์เลย ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยรู้หรือสนใจนิกิ เลาดาเท่าไรนัก แต่หลังจากดูจบ ผมกลายเป็นแฟนตัวยงของนิกิไปแล้ว!! และนั่นจะเกิดขึ้นกับคุณด้วย หลังจากดูหนังเรื่องนี้ มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับ บทบาทของคน 2 คน มากกว่าที่จะเป็นหนังแข่งรถทั่วๆไป"

รอนบอกว่า ความยากของการทำหนังเกี่ยวกับ F1 คือถ้าใครเป็นคนที่ติดตามแวดวง F1 อยู่แล้วเขาจะรู้จักทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถ ประวัติศาสตร์ รอนจึงต้องทำทุกอย่างให้ละเอียดที่สุด และโชคดีที่แฟนๆ F1 ส่วนใหญ่ค่อนข้างประทับใจกับ RUSH ความเห็นส่วนใหญ่ของเหล่าแฟนๆ F1 จะคล้ายๆกับความเห็นของ เจฟฟ์ กอร์ดอน คือ

"ไม่ง่ายเลยที่จะบรรยายบรรยากาศของการแข่งด้วยภาพจากกล้อง แต่ รอน โฮเวิร์ด ทำได้"



แดเนียล บรูห์ เป็น นิกิ เลาดา
คริส เฮมเวิร์ธ เป็น เจมส์ ฮันท์

"คุณสวมถุงมือก่อน หรือ สวมหมวกก่อน?"
เป็นหนึ่งในคำถามที่ เกิดขึ้นกับ นิกิ เลาดาตัวจริง เมื่อ แดเนียล บรูห์ ดาราหนุ่มชาวเยอรมัน ต้องรับบทเป็นเขาในหนังชีวิตการแข่งขันของเขา กับ เจมส์ ฮันท์ ตอนปี 1976 และ แดเนียล อยากจะเป็นนิกิเลาดาตัวจริงให้ดีที่สุด

"ผมเกิดในโคโลญจน์ และตอนนั้นบ้านผมอยู่ไม่ห่างจากสนามแข่งนัก ตอนที่ผมเกิด ผมก็รู้จักเรื่องของนิกิแล้ว เขาเป็นคนดัง และ เป็นต้นแบบ"

บรูห์เล่าว่า ตอนที่เปิดให้ออดิชั่นบท เขาไปออดิชั่นแบบไม่ซีเรียสอะไรนัก เพราะคิดว่า ยังไงเขาก็ไม่น่าจะได้บท แต่แล้วมันก็เกิดขึ้น เขาได้บท และมันยิ่งใหญ่มากๆ แต่การถ่ายทำเริ่มต้นได้ค่อนข้างแย่ เพราะเขาเป็นคน เยอรมันไม่ใช่ออสเตรีย

"อย่าใส่ใจคำพูดหรือสิ่งที่คนอื่นคิดกับนายจนเกินไปนัก"

นิกิ เลาดาตัวจริง บอกกับแดเนียล บรูห์ ท่ามกลางความกดดันเรื่องการรับบทเป็นคนออสเตรีย และการรับบทเป็นนักสู้ที่ยิ่งใหญ่เช่น นิกิ มันไม่ง่ายเลย บรูห์ลงทุนไปอยู่เวียนนา 1 เดือนเพื่อฝึกสำเนียง ผู้คนที่เวียนนา เมื่อรู้ว่าเขาต้องมารับบทเป็น นิกิ ทุกคนต่างอวยพร พร้อมเสียงหัวเราะ "โชคดีนะไอ้หนุ่ม!"

และคนที่พาเขาไปเวียนนาคือ นิกิ เลาดาตัวจริงนั่นเอง

ทันทีที่นิกิรู้ว่า ปีเตอร์ มอแกน กำลังเขียนบทเกี่ยวกับเรื่องของตัวเขาเองและการแข่งขันกับเจมส์ ฮันท์ พร้อมทั้งบอกว่า แดเนียล บรูห์จะมารับบทเป็นตัวเขาเอง เขาถามภรรยาว่า "ไอ้หนุ่มนั่นเป็นใคร" และ เขาก็ยอมรับว่า เขาประทับใจ บรูห์ ทันทีที่ได้พบกันครั้งแรก เพราะทันทีที่ได้รู้จักกัน บรูห์ก็บอกเขาอย่างน้อบน้อมว่า

"มันยากจริงๆกับการได้แสดงเป็นตัวคุึณ เพราะคุณยังอยู่ และใครๆก็รู้จักคุณกันทั้งนั้น"


นิกิเลยพาบรูห์ไปเวียนนาเพื่อฝึกภาษาและสำเนียง รวมทั้งพาเขาไปบราซิลเพื่อดูว่า Formula 1 จริงๆเป็นอย่างไร ตอนที่บรูห์มาเจอกับนิกิ เขารู้เรื่อง F1 น้อยมาก

และตอนที่นิกิได้เห็น บรูห์ บนจอภาพยนตร์ครั้งแรก บรูห์ที่รับบทเป็นตัวเขา นั่นทำให้เขาต้องอุทานว่า

"พับผ่า!!! นั่นมันตัวฉันนี่!!!"

นิกิพอใจมากกับการแสดงของบรูห์ และบทภาพยนตร์ของปีเตอร์ มันก็เพอร์เฟค และยอดเยี่ยม แต่สิ่งหนึ่งที่นิกิรับไมไ่ด้ จนถึงขั้นต้องโทรปลุก บรูห์ตั้งแต่ไก่โห่ เพื่อระบายความอัดอั้น ในซีนที่เขากลับมาแข่งอีกครั้งและมีการจัดแถลงข่าว

"โอ้ ซีนนั้นมันยอดเยี่ยมมากๆ ดีจริงๆ ไอ้หนู แต่รู้อะไรมั้ย แหวนแต่งงาน นั่นมันทุเรศสิ้นดี! ผับผ่าสิ ฉันไม่เคยใส่แหวนแต่งงานเลยตลอดชีิวิต อย่าให้ฉันเห็นมันอีกนะ"

นั่นแหละ คนแบบนิกิ เขาใส่ใจรายละเอียดเสมอ และ ทำตัวเหลือเชื่อได้ตลอดเวลา

ปีเตอร์ มอร์แกนเคยบอกว่า เขาเคยนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปพร้อมกับ นิกิ และพยายามบอกเขาว่า "อย่าด่า หรือ อย่าบ่นใคร แค่ให้คำแนะนำกับพวกเขาก็พอ" นิกิรับปาก แต่สุดท้ายตอนที่เครื่องร่อนลง มีอาการกระตุกเล็กน้อย เมื่อเครื่องลงจอด นิกิผลุบหายเข้าไปในห้องนักบิน แล้วเขาก็ร้องเสียงดัง แล้วสักพัก นักบินก็ออกมา





ปีเตอร์ถามเขาว่า เกิดอะไรขึ้น คุณไปพูดอะไรกับพวกเขา

"ฉันไปบอกพวกนั้นว่า แลนดิ้งได้ห่วยบรมแค่ไหน และบอกว่าพวกเขาทำพลาดไป 25 อย่างขณะบังคับเครื่องบิน และ พวกนายช่างเป็นนักบินที่ห่วยแตกสิ้นดี" ปีเตอร์ตอบออกไปว่า "ไหนคุณสัญญากับผมแล้วว่าจะไม่ทำแบบนั้น ..."

"ไม่!!!!!" นิกิเถียงเสียงดัง

"ฉันจะต้องพูด เพราะพวกนั้นจำเป็นจะต้องฟัง ถ้าอยากเป็นนักบินที่ดี เพราะถ้าพวกเขาไม่อยากเป็น ก็สมควรหยุดมันซะ" นั่นคือ นิกิ เลาดา คู่แข่งที่ยังมีชีวิต ขณะที่หนุ่มเพลย์บอย เจมส์ ฮันท์ ได้เสียชีวิตไปตอนอายุ 45 ด้วยอาการหัวใจวาย

"ผมหวังว่าฮันท์จะได้ดูหนังเรื่องนี้ เขาต้องชอบมันมากแน่ๆ"





นิกิรำลึกถึงคู่แข่งที่รักของเขา ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก่อนจะได้ดูเรื่องราวของตัวเองถูกทำเป็นหนัง
ใน RUSH มีคำพูดหนึ่งของเจมส์ ฮันท์ ที่อธิบาย แง่มุมการใช้ชีวิตของเขาได้เป็นอย่างดี นั่นคือ

"ใกล้ความตายมากแค่ไหน คุณยิ่งรู้สึกถึงการมีชีวิตมากเท่านั้น"

เจมส์ ฮันท์เป็นขั้วตรงข้ามทุกอย่างของนิกิ เลาดา เขาเป็นเพลย์บอย บ้าคลั่ง ทำอะไรตามใจ ไม่ชอบอยู่ในกฏ ไม่สนเรื่องความปลอดภัย อีกคำพูดหนึ่งที่เขาพูดกับนิกิเพื่อยืนยันจุดยืนของตัวเองคือ

"เมื่อไหร่ก็ตามที่นายพยายามทำให้มันปลอดภัย นายก็กำลังทำลายสเน่ห์ของมัน"
(ไม่แน่ใจในประโยคนี้นัก เพราะเขียนหลังจากดูหนังมา 1 เดือน -*-)

ในขณะที่ แดเนียล บรูห์เหมือน นิกิ เลาดาตัวจริงเสียเหลือเกิน แล้วอะไรที่ทำให้ คริส เฮมเวิร์ธได้บทของเจมส์ ฮันท์ไป รูปลักษณ์ภายนอกเขาเหมาะสมกับบทของเจมส์ ฮันท์มาก และรอนยังชอบการแสดงใน THOR ของเขาด้วย และเหนืออื่นใด เขาดูเป็นคนดี และเจมส์ ฮันท์ก็ไม่ใช่คนเลว คริสบอกว่า สิ่งที่เขามีเหมือนเจมส์คือ เขาดูเป็นคนเฮฮา และรักการผจญภัย และมีความเป็นเด็กในตัวสูง

แต่โดยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแล้ว คริส และ เจมส์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ...



คริส เฮมเวิร์ธ เป็นแฟมิลี่แมน และเป็นคนดีแบบที่คนในวงการแทบไม่เจอเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับเขาเลย ซึ่งแตกต่างกับเจมส์ ฮันท์ตัวจริงอย่างสิ้นเชิง เมื่อต้องมารับบทเป็น ฮันท์ โดยที่ไม่มีคนให้คำปรึกษา (แบบที่บรูห์มีนิกิ) คริสจึงเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า "เขาจะแสดงเป็นเจมส์ ฮันท์ ไม่ใช่เลียนแบบเป็นเจมส์ ฮันท์"

"ผมพยายยามดูสารคดี วิดิโอ รูปถ่าย บทสัมภาษณ์ ข่าว ทุกๆอย่างเกี่ยวกับเจมส์ ฮันท์ ผมไม่ไ่ด้ติดต่อครอบครัวของเขาไปเป็นการส่วนตัว แต่ผมใช้วิธีศึกษาด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็มีโอกาสได้พบกับอดีตแฟนของเจมส์หลายๆคน ทุกคนต่างบอกว่า เจมส์เป็นคนที่ยอดเยี่ยม ไม่มีใครด่าเขาเลยสักคน แต่ถ้าจะให้ผมแสดงความเห็นจริงๆคือ เขาเป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก และผมจะไม่เอาอย่างด้วยแน่ๆ เช่น .. ฉี่ในที่สาธารณะเนี่ยนะ?"



คริสเล่าว่า เขาเองเคยได้รับคำแนะนำเรื่องการใช้ชีวิตในฐานะคนดังอยู่บ่อยๆ ดูเหมือนคริสไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แต่ทุกสิ่งที่ถาโถมเข้ามามันจะยิ่งใหญ่อย่างเหลือเชื่อ 10 ปีก่อนเขายังเป็นแค่บาเทนเดอร์ แต่ตอนนี้เขาเป็นโด่งดังไปทั่วโลก ครั้งหนึ่ง แมต เดม่อนเคยแนะนำเขาว่า จะใช้ชีวิตแบบเซเล็บก็แค่ ทำตัวให้น่าเบื่อเข้าไว้ ทำงานเสร็จก็กลับบ้านแต่หัววัน อย่าไปปาร์ตี้ยันย้ำรุ่ง เมาแอ๋ ให้ใครเห็น แค่นั้นก็พอ ยิ่งเราทำตัวน่าเบื่อแค่ไหน เราก็เป็นคนโปรดของปาปารัซซี่น้อยลงเท่านั้น ซึ่งนั่นคือชีวิตจริงของคริส ที่เขามองว่ามันค่อนข้างแตกต่างจากบทบาทที่เขากำัลังจะสวมอย่างมาก

นั่นคือ เจมส์ ฮันท์ เพลย์บอย ผู้กินเหล้าแทนน้ำ และฟันหญิงมาเกือบ 5,000 คน ..
ที่เซอร์ไพรซ์คือ คริส เฮมเวิร์ธ กลายเป็น เจมส์ ฮันท์ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ




RUSH เรื่องงี่เง่าของผู้ชาย และความตายเพียงครั้งเดียว

เจมส์บอกว่า สิ่งที่พวกเขา เหล่านักแข่ง กำลังทำกันอยู่ นั้นเป็นเรื่องโง่เง่า ที่พวกเขาเองแสนจะเต็มใจ กับการเอาตัวไปผูกติดกับระเบิดวิ่งได้ ที่พร้อมจะทำลายชีวิตของพวกเขาได้ตลอดเวลา แต่นั่นแหละคือสิ่งสำคัญ

"ยิ่งอันตราย ก็ยิ่งมีความสุข"

ความสุขของการได้เอาชนะโชคชะตา ความสุขของการได้เสี่ยงชีวิต แล้วพบว่าตัวเองทำได้อีกครั้ง อีกครั้ง และ อีกครั้ง เจมส์มองว่า ความอันตรายที่เอง ที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้

ขณะที่ นิกิ กลับเชื่อว่า ชีวิตต้องถูกคำนวณเป็นอย่างดี และชีวิตของเขานั้นมีค่าเหลือเกิน นิกิไม่เสี่ยงกับความไม่แน่นอน แม้เขาจะรู้ดีว่าการแข่งรถนั้นความไม่แน่นอนมีมากขนาดไหน แต่ก่อนลงสนามทุกครั้ง เขาจะพยายามตัดเปอร์เซนต์ความไม่แน่นอนเหล่านั้นทิ้งให้เหลือน้อยที่สุด และที่สำคัญ เขามาแข่งรถเพราะอยากยิ่งใหญ่ และเป้าหมายคือ ความมั่นคงและแน่นอนในชีวิต

เจมส์ และ ฮันท์ จึงเหมือนคู่แข่งที่เป็นขั้วตรงข้ามกันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำความรู้จัก เขาแย่งชิงกันบนแทร็ก และมาปะทะฝีปากกันนอกแทร็ก และกลับไปต่อสู้กันในแทร็กอีกครั้ง เป็นวัฏจักรเช่นนี้ และทุกอย่างก็ยังไม่ได้จบลงที่การเป็นแชมเปียนส์ มันจะต้องต่อสู้กันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายจากกัน

นั่นคือสัญชาติญาณของนักแข่ง



แม้ความสัมพันธ์ของเจมส์และนิกิท์จะไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น ว่ากันจริงๆแล้วพวกเขาเป็นคู่แข่งที่เหมือน "ศัตรูที่รัก" กันเสียมากกว่า แบบที่เราอาจใช้คำว่า "การหยอกล้อของพวกผู้ชาย" ได้ กับการต่อสู้ของเจมส์และฮันท์ ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งเขาแข่งกันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งนับถือกันมากเท่านั้น มิตรภาพของผู้ชาย หลายครั้งก็เริ่มต้นแบบนั้น

หลังจากต่อยกันแทบตาย พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนรักกัน

RUSH ของ รอน โฮเวิร์ดนั้นค่อนข้างเน้นหนักไปที่ความเป็นดราม่ามากกว่าจะเป็นหนังที่ขายฉากรถซิ่ง แต่โชคดีที่การออกแบบฉากการแข่งขันนั้นทำให้สมจริงจนหลายคนยกให้เป็น หนังแข่งรถที่สมจริงที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่จุดเด่นในหนังของรอน โฮเวิร์ด ยังคงเป็น ปมดราม่าน้ำตาแตก ที่บางครั้งเราก็มองว่ามันช่างดูน้ำเน่าเหลือเกินในบางฉาก หลายครั้งสิ่งที่ตัวละครเลือกทำ อาจเกิดขึ้นได้แค่ในละครและในหนัง เพราะ มันเหมาะเจาะเกินไป และ ดูเป็นแบบแผนเกินไป

เช่น การเลือกความรัก แทนการคว้าชัยชนะ



หรือแม้แต่การจบด้วยมิตรภาพอันแสนงดงาม ที่ดูจะผิดกับความสมจริงแบบที่หนังปูมาตั้งแต่เริ่มแรก แต่ความแฟนตาซีเล็กๆนี่เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า "RUSH" ทำให้เราอิ่มเอม แม้หนังเริ่มต้นมาด้วยความดราม่าอันเข้มข้นที่ชวนให้รู้สึกตึงเครียด แต่สุดท้ายเราก็พบว่า ตอนจบมันก็ทำให้เรายิ้มออก

หลายคนอาจมองว่า "เห้ย นี่มันฮอลลีวูดจริงๆ!!" นั่นคือ สุดท้ายทุกคนก็มีหนทางของตัวเอง และเต็มไปด้วยความสุข สุดท้ายแล้ว RUSH ก็เป็นหนังดราม่าน้ำเน่าอีกเรื่อง? ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความเข้าใจที่ผิดนัก เพราะบางครั้งชีวิตเราก็น้ำเน่ากว่าในหนังเยอะ

RUSH เป็นหนังดราม่าที่ใช้ "ความรัก" เป็นตัวดำเนินเรื่องมาตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่ความรักในการแข่งขัน ความรักในการเสี่ยงชีวิต ความรักในอาชีพ ความรักที่มีต่อรถ เพื่อนฝูง ผู้หญิง ครอบครัว และ สุดท้ายคือ ความรักต่อตัวเอง ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ง่ายที่สุด เป็นหนึ่งในความต้องการพื้นฐานชีวิตของมนุษย์

เราทุกคนล้วนต้องการความรัก เสพย์ติดความรัก และ หลงใหลในรัก



RUSH ทำให้เรามองเห็นว่า ความตายอยู่ใกล้แค่ไหน
เกิดมาได้ครั้งเดียว ตายก็ตายได้แค่ครั้งเดียว
สิ่งสุดท้ายที่เราอยากได้ก่อนจะตายจากไป
ก็อาจจะเป็น

ความรัก นี่เอง ...


ตอนปี 2010 นิกิ เลาดาเคยออกมาบอกกับเรดบูลว่า ให้เปลี่ยนเบอร์ 1 ของทีมจากเวทเทลเป็นเว็บเบอร์ซะ ก่อนที่ทีมจะไม่ได้แชมป์อะไรติดมือเลย ทั้งคู่เป็นนักแข่งที่ยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือน นิกิจะคิดว่า มาร์กมี "บางอย่าง" ที่เขาคิดว่า สามารถก้าวไปสู่การเป็นแชมป์โลกได้ในฐานะที่ตนเองก็เคยมีความรู้สึกนั้น และผ่านจุดจุดนั้นมาแล้ว

ในปีเดียวกับ เวทเทลได้แสดงให้เห็นว่า เขาเหมาะสมกับการเป็นเบอร์ 1 ของทีม ด้วยการคว้าแชมป์โลกสมัยแรก ด้วยสถิตินักแข่งที่อายุน้อยที่สุดที่เคยคว้าแชมป์โลก (ตอนนั้น เวทเทลอายุ 23 เท่านั้น)
และ 3 ปี ต่อมาเขายิ่งตอกย้ำชัยชนะของตัวเองด้วยการคว้าแชมป์อีก 3 สมัย กลายเป็นนักแข่งคนที่ 4 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถคว้าแชมป์ได้ติดกัน 4 สมัย และยังเป็นนักแข่งที่อายุน้อยที่สุดด้วย

เซบาสเตียน เวทเทล คำนับรถของตัวเองหลังจากคะแนนสะสมทิ้งห่างจนคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่ยังแข่งไม่จบทัวร์นาเมนต์

ความสม่ำเสมอและความเก่งกาจของเวทเทลทำให้หลายคนบอกว่า เขาเป็นแชมเปียนส์ที่เพอร์เฟค ไม่ไ่ด้แข็งกร้าว ไม่ได้เป็นเพลย์บอย ไม่ได้หยิ่งยโส ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อ ไม่ได้เป็นคนเงียบขรึม (ในวงการ F1 ตอนนี้มี นักแข่งบุคลิกประดุจตัวการ์ตูนเหล่านี้ ครบเลยทีเดียว) โดยรวมแล้ว เป็นเด็กดีที่เป็นที่รักเลยทีเดียว

แม้จะมีแอบเกรียน และ มีลูกโมโหบ้างเป็นบางโอกาส

และเพียงเพราะการโมโหใส่แฟนๆของเขา (เนื่องจากเจอโห่ในสนามที่ตัวเองได้ที่ 1) เขาก็ถูกหลายๆคนเรียกด้วยฉายาใหม่ว่า "Villian Vettel" เลยทีเดียว และ เวทเทลเป็นเด็กที่ชอบเรียนรู้ เป็นมืออาชีพ มีไหวพริบในในค็อกพิืทและนอกค็อกพิท เขาสนใจศึกษากับทีมวิศวกรรมของเรดบูล เพราะอยากรู้จักรถของตัวเองให้มากที่สุด นั่นอาจเป็นอีกหนทางที่ เวทเทลทำเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ให้ดีที่สุด



การอยู่จุดสูงสุด อาจไม่ยากเท่าการรักษามันไว้
คุณอาจเป็นคนที่เร็วที่สุดในตอนนี้ แต่ทำอย่างไรให้ความเร็วนั้นยังคงเป็นที่สุดอยู่เสมอ
เร็วแค่ไหนถึงจะพอ?

ที่สุดแล้วความเร็วอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด
สิ่งสำคัญคือการรักษามันไว้นั่นเอง ...



//////////////////////////////////////////////////////////////////////////


เริ่ม เขียนตั้งแต่ตอนไปดูมาเมื่อเดือนที่แล้ว กะไว้ว่าต้องเขียนแน่ๆ ตอนนั้นไปดูมาพร้อมกับ PRISONER อยากกลับมาเขียนทั้ง 2 เรื่องเลย แต่ด้วยความที่ติสท์มาก เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว ... กว่าจะเสร็จ ปาเข้าไปเป็นเดือน ไปเขียนนั่นนี่มาก่อน ไม่มีอารมณ์จะกลับมาปั่นบทความนี้เลย ฮ่าๆ (เหมือนจะคล้ายรีวิวนะ แต่เราว่าดูไม่ใช่รีวิวเท่าไรนัก *-*)

วันนี้กะว่าจะมาเขียนให้เสร็จ เพราะเหลืออีกนิดเดียว ปรากฏว่าบังเอิญมาก ที่ครบ 1 เดือน หลังจากที่คิดว่าจะเขียนพอดี =w=AA
กระทู้หนุ่มน้อยบอลโลก มาทีหลังแต่เขียนเสร็จไปนานจนกระทู้ 2 จะมาอยู่ละ 5555



ทีแรกกะว่าจะโพสต์ตอนเวทเทลแข่งสนามสุดท้ายเสร็จ คว้าแชมป์โลกพอดี
คิดไปคิดมา ช่างมันเถอะ เขียนเสร็จก็รีบๆโพสต์ไปซะหมดเรื่อง ที่สำคัญแอบหมั่นไส้อีเซ็บเล็กๆ

จะเทพไปหนายย
ให้พี่มาร์กเข้าวินมั่งได้ม้ายยยยย พี่เค้าจะรีไทร์แล้วนะเฟร้ยยย
เอ็งก็ได้แชมป์ไปแล้วด้วยยยยยย
และเหมือนเราจะเคยอวยเวทเทลเยอะ แต่หาได้เป็นติ่งเวทเทลแต่อย่างใด
เป็นติ่งโกรฌอง และแอบปลื้มพี่มาร์กด้วย เพราะฉะนั้น อีเซบ เป็นศัตรูเบอร์ 1 เลยค่ะ
หมั่นไสสสสสสสส้



ดูสิพี่โกรฌองต้องไปทนแบกเค้าอีก
มองดูอิเด็กเซบคว้าแชมป์โลก
เดี๋ยวขับชนแม่มมมม
ชอบโกรฌอง
เพราะโกรฌองเป็นนักแข่งที่ขับสูตร 1 ให้กลายเป็นรถบั๊มได้
555555555555



FB | https://www.facebook.com/poprockonfilm


*********************************************************************

CREDIT :
http://www.historyvshollywood.com/reelfaces/rush.php
http://www.independent.co.uk/arts-entertainment/films/reviews/film-review-rush--peter-morgans-drama-about-f1-in-the-1970s-is-pulsequickening-8812511.html
http://www.scriptmag.com/features/screenwriter-peter-morgan-on-rush
http://www.telegraph.co.uk/culture/film/film-blog/10305927/Niki-Lauda-I-wish-James-Hunt-could-have-seen-Rush-because-he-would-have-enjoyed-it.html
http://www.indiewire.com/article/daniel-bruhl-on-why-he-was-scared-to-play-niki-lauda-for-ron-howard-in-rush-and-his-on-set-rivalry-with-chris-hemsworth?page=2#articleHeaderPanel
http://sportsillustrated.cnn.com/racing/news/20130926/ron-howard-forumla-one-movie-rush.ap/
http://www.f1fanatic.co.uk/2013/09/15/rush-ron-howard-interview/
http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%AC%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A5
http://www.telegraph.co.uk/culture/film/10271792/Chris-Hemsworth-interview-James-Hunts-behaviour-was-inexcusable.html
< >

ปรากฏการณ์ของ MACKLEMORE ศิลปินอิสระคนแรกในรอบ 20 ปีบน BILLBOARD CHART



อาจไม่สามารถเรียกว่า ปรากฏการณ์ได้เต็มปากเต็มคำนัก แต่อัลบั้ม THE HIEST ของเขาก็สร้างสถิติหลายอย่างที่น่าสนใจอยู่พอดู
หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับชื่อของ MACKLEMORE นักจนกระทั่งเพลงของเขาสามารถขึ้น ชาร์ต Billboard ได้เป็นผลสำเร็จ
ก่อนหน้านี้เขาใช้ชื่อในวงการว่า Professor Macklemore
ที่น่าตกใจคือ เพลงของเขา 3 เพลงสามารถขึ้นไปสู่อันดับ 1 ของ Billboard ชาร์ตได้ในหลายประเทศ
เก็บยอดแพลตตินั่มถล่มทลาย ในช่วงระยะที่แต่ละเพลงปล่อยออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว

ในฐานะที่มันเป็นเพลง HIPHOP
ในฐานะที่ MACKLEMORE เป็นศิลปิน "อิสระ"
แค่ด้วยเงื่อนไข 2 ข้อนี้ MACKLEMORE ก็สร้างความมหัศจรรย์ได้มากพอดูแล้วกับการขึ้นไปสู่อันดับ 1

MACKLEORE ยังเป็นศิลปินอิสระคนแรกในรอบ 20 ปี (ครั้งสุดท้ายคือปี 1994) ที่สามารถพาผลงานตัวเองเข้าสู่ Bilbord chart ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันแอนแสนดุเดือดของบรรดาศิลปินเบอร์ใหญ่จากมากมายหลายค่าย




อัลบั้ม THE HEIST ที่อัดแน่นไปด้วยเพลงดีๆ(และแปลกๆ)หลายเพลง ทั้งยังมี 3 เพลงที่ขึ้นชาร์ตแพลตตินั่มและ PEAK #1 ทั้ง Thrift shop,Can't hold us,Same love และตอนนี้อีก 1 เพลงกำลังเข้าชาร์ตไต่ระดับมาอย่างช้าๆกับบีทสุึดเปรี้ยวใน White wall

MACKLE MORE มีชื่อจริงว่า เบน แฮกเกอร์ตี้ อัลบั้มเต็มครั้งแรกของเขาออกในปี 2005 นั่นคือ The Language of My World แม้จะไม่ประสบความสำเร็จอะไรนัก แต่เบนก็มุ่งมั่นกับงานของตัวเองต่อไป เขาออกมิกซ์เทปอีกหลายเพลง จนกระทั่งในปี 2006 เขาได้ "Be friend" กับชายคนหนึ่งบนเว็ปไซต์ My space ชายคนนั้นชื่อ Ryan lewis ดีเจคนหนึ่งในซีแอตเทิล เมืองเดียวกับที่เขาอยู่ ในช่วงแรก ไรอันทำงานร่วมกับเบนในฐานะช่างภาพ ก่อนทั้งคู่จะตัดสินใจรวมตัวกับในที่สุด และในปีต่อมาพวกเขาได้ออกมิกซ์เทป THE VS. ที่โด่งดังพอสมควรในแวดวงคนทำเพลง แต่ชื่อของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากไปกว่า ดูโออินดี้จากซีแอทเทิ่ล

ปี 2012 พวกเขากลับมาอีกครั้งกับ THE HEIST อัลบั้มที่เปลี่ยน "ดูโออินดี้จากซีแอทเทิ่ล" ให้กลายเป็น "ดูโอฮิปฮอปที่น่าจับตามองแห่งยุค"




ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยได้รับการติดต่อจากค่ายใหญ่ ก่อนหน้านี้ เบนและไรอันได้ปฏิเสธข้อเสนอจาก Jimmy Iovine (ที่เป็นชื่อเพลงหนึ่งของเขาในอัลบั้มด้วย) โปรดิวเซอร์และห้วหน้าค่าย Interscope ผู้ดูแลศิลปินแร็พผิวขาวหลายคน ในเพลง Jimmy Iovine MACKLEMORE เล่าถึงเหตุการณ์การไปพูดคุยเพื่อเซนต์สัญญากับค่ายใหญ่ของเขา และเขาพบว่ามันไม่น่าประทับใจเอาซะเลย ตอนเขาไปถึง แม้แต่ชื่อของวง พวกเขา (Jimmy Iovine) ยังจำไม่ได้ และเขายังบอกเงื่อนไขต่างๆหากได้สังกัดค่ายใหญ่ ที่เบนรู้สึกว่า มันช่างกีดกั้นอิสระในการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใคร
ท่อนหนึ่งในเพลงที่อธิบายความรู้สึกของเขากับการสังกัดค่ายใหญ่ได้เป็นอย่างดีคงเป็น

If I could get signed my life is destined
My future depends on ink

ถ้าฉันได้เซนต์สัญญา ชีวิตฉันคงถูกกำหนดชะตาไว้แล้ว
อนาคตของฉันขึ้นอยู่กับน้ำหมึกสินะ




เบน และ ไรอันปฏิเสธ จิมมี่ และค่ายใหญ่ทุกค่ายที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาหาเขาในตอนนี้ เขาบอกว่า ทุกค่ายล้วนเหมือนกัน สำหรับเขาแล้วตอนนี้ การเซนต์สัญญากับค่ายใหญ่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เขายังอยากทำอะไรแบบที่ตัวเองอยากทำ อยากทำเพลงแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ต้องรอกำหนดออกอัลบั้ม รอผู้บริหารเห็นชอบ หรือแนวเพลงที่ค่ายต้องการ เรื่องแบบนั้น ไม่ใช่ที่สิ่งที่เขาต้องการ

"ผมกระหายอยากเป็นศิลปินมากกว่า อยากประสบความสำเร็จ"





Thrift shop
ซิงเกิ้ลที่ 5 ของพวกเขาที่เล่าเรื่องไลฟ์สไตล์ในชีวิตส่วนตัว มันเกิดจากการที่ เบนชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองจาก Thrift shop (ร้านเสื้อผ้ามือสอง หรือเพื่อการบริจาค) ซึ่งใช้คำว่า ALL KILL คงไม่ผิดนัก มีเพียง ชาร์ตเดียวที่ Thrift shop รั้งอยู่แค่อันดับ 2 คือที่นิวซีแลนด์ นอกนั้นพวกเขากวาดอันดับ 1 ทั้งหมด ซึ่งเพลงนี้เองที่ทำให้ MACKLEMORE เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

ความโด่งดังของ Thritf shop ได้ทำให้เพลงอื่นๆของ MACKLEMORE ทยอยกลับมาขึ้นชาิร์ตบน BILLBOARD ด้วย ทั้ง Can't hold us และ Same love



อะไรทำให้ Thrift shop เหมือนพายุบ้าคลั่งบนชาร์ตบิลบอร์ด?

อันดับ แรกคงเป็นเนื้อเพลง ที่ ... คงถูกใจอเมริกันชนอย่างมาก หรือแม้แต่ใครๆก็ตามที่มีหัวใจเป็นแฟชั่นนิสต้าแต่กระเป๋าแฟบเหลือเกิน Thrift shop เล่าถึงรสนิยมการซื้อเสื้อผ้ามือสองและนำมามิกซ์กับสไตล์ของตัวเองจนรู้สึก ว่า มันเจ๋งเหลือเกินกับการได้เสื้อผ้าเจ๋งๆมาในราคาที่โคตรถูก ขณะที่เบนเล่าเรื่องไลฟ์สไตล์การใส่เสื้อผ้ามือสองที่อาจดูแย่ในสายตาใครๆ แต่สำหรับเขากลับมองว่า มันก็เท่ได้เหมือนกัน

ซึ่งในเพลง ยังได้มีการจิกกัดไปพึงบรรดาแฟชั่นนิสต้าหรือผู้คนทั้งหลายที่บ้าแบรนด์และ เสพย์ติดลิมิเต็ดอิดิชั่นเข้าใส้ ขณะที่พวกเขายอมเสียเงิน 50 ดอลลาร์ให้กับเสื้อ 1 ตัวเพียงเพื่อจะพบว่า ในผับเดียวกันมีคนใส่เสื้อแบบเดียวกันอีกเยอะแยะ ขณะที่คนใส่เสื้อเท่ๆในราคา 99 เซนต์กลับเป็นคนเดียวที่มีเสื้อตัวนี้

ใครเจ๋งกว่าล่ะ แบบนี้?

ด้วยเนื้อหาเพลงที่โดนใจประกอบกับการพึ่งกระแส word of mouth
ทำให้เพลงนี้โด่งดังและแพร่หลายในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
โซเชียลเน็ตเวิร์คยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพลงนี้ขึ้นชาร์ตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย




# 5 Thrift shop : ตุลาคม 2012
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด พฤศจิกายน 2012
- ขึ้นอันดับ 1 เดือน กุมภาพันธ์ 2013
- เผยแพร่ MV สิงหาคม 2012

ด้วยกระแสความโด่งดังจาก Thrift shop ทำให้เพลงอื่นๆของ MACKLEMORE ที่เดบิวต์ไปก่อนหน้ากลับมาขึ้นชาร์ตบนบิลบอร์ดไปด้วย


Can't hold us เป็นซิงเกิ้ลโปรโมตเพลงที่ 3 ในอัลบั้มหลังจาก my Oh my และ Wings ไม่ค่อยประสบความสำเร็จบนชาร์ตเท่าไรนัก และ Can't hold us สามารถเดบิวต์บนบิลบอร์ดได้เป็นครั้งแรกที่อันดับ 97 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 และมันใช้เวลาเพียง 4 เดือนในการขึ้นไปสู่อันดับ 1 (ในตอนนั้นมีเพลงที่กำลังทำกระแสช่วงชิงอันดับ 1 กันอยู่อีก 2 เพลงคือ Harlem shake ของ Baauer และ Blurred lines ของ Robin Thicke ด้วยกระแสของทั้ง 2 เพลงคิดดูว่าจะสู้กันยิบตาขนาดไหน)



# 3 Can't Hold us : สิงหาคม 2011
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด กุมภาพันธ์ 2013
- ขึ้นอันดับ 1 เดือน มิถุนายน 2013
- เผยแพร่ MV เมษายน 2013


Same love ซิงเกิ้ลที่ 4 ของพวกเขาสร้างกระแสอย่างถล่มทลาย แม้ไม่ใช่ในแง่ของรายได้ แต่ MACKLEMORE กลายเป็นขวัญใจของมหาชนด้วยเพลงนี้ ไม่ใช่แค่ศิลปินฮิปฮอปธรรมดา แต่เขายังแสดงด้านความเป็น "เพื่อนมนุษย์" ใน SAME LOVE เพลงที่พูดถึง "ความรัก" ที่ไม่มีขอบเขต และพูดถึงรักร่วมเพศที่หลายคนต่อต้าน แต่ MACKLEMORE กลับมองว่า "รักยังไงก็คือความรัก" ซึ่งตัว MACKLEMORE นั้นสนับสนุน LGBT rights อยู่แล้ว (กฏหมายว่าด้วยเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ที่หลายประเทศและหลายรัฐให้การสนับสนุนในทั่วโลก)





และเพลงนี้เองได้ทำให้เกิดการพูดถึงอย่างมากมาย ในเรื่อง "รักร่วมเพศในวงการเพลงและวงการฮิปฮอป" ที่ศิลปินบางคนเริ่มเปิดตัวว่าตัวเองเป็นรักร่วมเพศ และแม้แต่ในวงการบันเทิง และกับคนทั่วไป โดย MACKLEMORE สนับสนุนให้ผู็คนแสดงความรักต่อกัน อย่าปิดกั้นมันไว้ด้วยเพลง Same love




# 4 Same Love : กรกฏาคม 2012
- เดบิวต์บนบิลบอร์ด กุมภาพันธ์ 2013
- พีคที่อันดับ 11 กันยายน 2013
- เผยแพร่ MV ตุลาคม 2012



White wall ซิงเกิ้ลที่ 6 จากอัลบั้มที่ขณะนี้ได้เข้ามาอยู่ในบิลบอร์ดชาร์ตเรียบร้อย หลังจากที่เบนพึ่งไป perform ในรายการของ Jay leno มา ก็ดูเหมือนอันดับจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆเสียด้วย








คอนเสิร์ต WOLRD TOUR ของพวกเขาจัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ซีแอทเทิล และยังเป็น Secret show เสียด้วย (พวกเขาบอกว่าเป็นก้าวแรกของ world tour) โดย secret show นี้เปิดให้เข้าชมฟรีและยังจำกัดคนที่ 600 คนเท่านั้น สถานที่คือ ดาดฟ้าของร้าน Neumos ใน Capitol Hill, Seattle







ยังไม่สายที่จะทำความรู้จักกับพวกเขาตอนนี้
เพราะเส้นทางของ 2 หนุ่มพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
นี่คือ
MACKLEMORE


********************************************************



ปกติไม่ค่อยชอบแร็ปเปอร์ผิวขาวเลยค่ะ
ถัดจาก EMINEM ก็แทบไม่มีใครที่โดนใจและอยากติดตามเลยจริงๆ
ออกจะแอนตี้ด้วยซ้ำไป จนกระทั่งมาเจอ MACKLEMORE

เอาแค่เรื่องเพลงและสไตล์ก่อน
ค่อนข้างประทับใจมาก พอยิ่งได้ตามและยิ่งได้รู้ประวัติยิ่งรู้สึกดีกับ 2 คนนี้เข้าไปใหญ่
ก่อนอื่นเลยเราชอบเพลง MACKLEMORE ตรงที่เป็นเพลงที่ค่อนข้างเพื่อชีวิตพอสมควร
เป็นแร็ปเปอร์ที่ไม่ได้พูดเรื่อง รัก เหล้า ยา ผู้หญิง พร่ำเพรื่อ ทำให้รู้สึกว่า ชอบเพลงและศิลปินแบบนี้จัง
และสไตล์ MACKLEMORE ค่อนข้างจะเป็นอเมริกันสไตล์มาก เขาเป็นศิลปินแรพในแบบคนขาวจริงๆ
ไม่ใช่เรื่องเหยียดผิวอะไร แต่ แร็ปเปอร์ผิวขาวกับผิวสี สไตล์เพลงและการร้องค่อนข้างจะต่างกันมาก
ส่วนตัวเราชอบแร็ปเปอร์ผิวสีมากกว่า จนมาเจอ MACKLEMORE นี่แหละเลยรู้สึกว่า เห้ยคนขาวมาแล้ว!

จะถูกมองว่าเป็นพวกเหยียดมั้ย เราหมายถึงถ้าเป็นเพลงแร็ป สำหรับเรา พวกผิวสีจะเป็นสไตล์ที่เราชอบมากกว่าค่ะ

ขอพา MACKLEMORE มาแนะนำสักหน่อย คนนนี้ชอบจริงๆ

ฝากแฟนเพจด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/poprockonfilm
https://twitter.com/alfredpoprock

< >