Popular Posts

The Class Of 92 : มากกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ..

ทีแรกตอนเห็นคะแนนใน IMDB ของหนังเรื่องนี้ พุ่งไปตั้ง 8.4 ก็แอบคิดในใจว่า

"แฟนผีมาช่วยกันกดแหง"

เพราะ หนังเกี่ยวกับทีมฟุตบอลจากเมืองแมนเชสเตอร์ทีมนี้เรื่องก่อนหน้าอย่าง UNITED ที่จัดทำโดยทีมงาน BBC ก็มีปรากฏการณ์ที่คล้ายๆกัน เนื่องจากแฟนบอล/แฟนหนังบางส่วนชอบมาก แต่ไม่ถูกใจนักวิจารณ์นัก นอกจากนั้นหนังยังมีดราม่าเรื่องบิดเบือนจากความเป็นจริง และทำหนังแบบไม่ปรึกษาผู้เกี่ยวข้องอีกต่างหาก

Class Of 92 เป็นคำเรียกขานชื่อกลุ่มนักฟุตบอลในยุคหนึ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งนักฟุตบอลกลุ่มนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ที่สำคัญยิ่งต่อทีมฟุตบอลยักษ์ใหญ่แห่งอังกฤษ ด้วยการคว้าโทรฟี่ระดับประเทศ 26 ถ้วย รวมทั้งติดทีมชาติรวมกัน 468 เกม และ ลงเล่นในแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3,268 เกม

สิ่งสำคัญที่ Class Of 92 มีมากกว่าการขายแค่ "ชีวิตนักเตะคนดังแห่งยุค" อย่าง แกรี่ เนวิลล์, ไรอัน กิ๊กซ์, ฟิล เนวิลล์, เดวิด เบคแฮม, พอล สโคลล์ และ นิคกี้ บัตต์ คือ นี่หนังหนังสารคดีเกี่ยวกับยุคสมัยสำคัญของอังกฤษ อย่างช่วงทศวรรษ 90's ที่ดีเยี่ยมเรื่องนึง



...............................................................................................................................................

พูดถึงอังกฤษ คุณนึกถึงอะไร?

แน่นอนว่าเราไม่ได้หมายถึง หอนาฬิกาบิ๊กเบน หรือ ลอนดอนอายส์ แต่เรากำลังหมายถึง ประเทศอังกฤษมีอิทธิพลอะไรบ้างกับชีวิตคุณ

สิ่งนี้ถูกตีโจทย์ไปแล้วครั้งหนึ่งในการแสดงพิธีเปิดใน โอลิมปิคปี 2012 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน โดยในคราวนั้น แดนนี่ บอล์ย ผู้กำกับชื่อดังรับหน้าที่ควบคุมการแสดงและกำกับการแสดง

ในตอนนั้นหลายคนก็ปรามาสว่า "แดนนี่ บอล์ย จะสร้างพิธีเปิดและปิดได้อลังการกว่า ที่จางอี้โหมวทำที่ปักกิ่งได้ยังไง?" แน่นอนว่า โอลิมปิคปี 2008 ที่ปักกิ่ง จางอี้โหมวได้สร้างผลงานที่ยากลืมเลือน

ซึ่งคำปรามาสนี้ก็เป็นเหมือนการประกาศการต่อสู้ของ 2 ผู้กำกับชื่อดังที่มีเลือดรักชาติเข้มข้นนั่นแหละ






แม้ผลงานของ แดนนี่ บอล์ยจะเข้าถึงยากกว่า (ทั้งงานหนังและการแสดงในพิธีเปิด/ปิด) แต่ต้องยอมรับว่า แดนนี่ บอล์ยเป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งมากๆคนนึง และ สิ่งที่เขาตีโจทย์ออกมาในความเป็นอังกฤษคือ

ชนชั้นกรรมาชีพ, ฟุตบอล, ดนตรี

นั่นคืออังกฤษ





พวกเขามีท่าเรือ มีกิจการโรงถ่านหินอันยิ่งใหญ่ มีคนงานชั้นกรรมาชีพมากมายในประเทศ นั่นคือวิธีที่อังกฤษสร้างประเทศขึ้นมา

นอกจากนั้นสิ่งที่พวกเขามีคือ ฟุตบอล ทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้รับความนิยมไปทั่วโลก ฟุตบอลที่สร้างแรงงบรรดาลใจในชีวิต

แต่วัฒนธรรมที่ครองใจและยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษไม่ได้มีแค่ฟุตบอล แต่อุตสาหกรรมดนตรี ได้เปลี่ยนแปลงโลกมาแล้ว ดนตรีของที่นี้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ที่ใดในโลก เป็นต้นกำเนิดแฟชั่น วัฒนธรรม ประเพณี การถือกำเนิดของยุคพังก์ที่เริ่มต้นในการหยุดประท้วงของพนักงานโรงงาน

แดนนี่ บอล์ย พูดถึงอังกฤษไว้เช่นนั้น และได้ถ่ายทอดลงในงานแสดงพิธีเปิดของ โอลิมปิคที่ลอนดอนเมื่อปี 2012 ซึ่งความอลังการและตราตรึงใจ ไม่ได้น้อยไปกว่า ผลงานที่อังลี่ทำที่ปักกิ่งเลย

ทีนี้ เนื้อหาจริงๆของ Class Of 92 มันก็เล่าเรื่องทำนองนั้น
ชนชั้นแรงงาน, ฟุตบอล, ดนตรี
นั่นคือ เนื้อหาจริงๆที่เกิดขึ้นใน Class Of 92

................................................................................................................................................

The Class Of '92 



 (ในภาพคือ Eric Harrison โค้ชทีมเยาวชนกับเด็กๆชุด Class of 92)

ก่อนอื่น นี่เป็นหนังสารคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากในหมู่แฟนบอล โดยเฉพาะแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพราะ Class Of 92 อาจเป็นที่สุดแห่งยุคแล้วจริงๆในยุคหลังๆ พวกเขาได้สร้างผลงานที่ยากลืมเลือนมากมายแก่ สโมสรและแฟนบอล

หนังเล่าเรื่องผ่านบทสัมภาษณ์ของ 6 นักเตะคนดัง เรียงจาก แกรี่ เนวิลล์, ไรอัน กิ๊กซ์, ฟิล เนวิลล์, เดวิด เบคแฮม, พอล สโคลล์ และ นิคกี้ บัตต์ ซึ่งช่วงชีวิตนักเตะอันรุ่งโรจน์ของพวกเขา ที่ไม่ได้มีแค่ฟุตบอล แต่อังกฤษในเวลานั้นยังมีทั้งปัญหาการเมือง ความโด่งดังถึงขีดสุดของดนตรี การถือกำเนิดวง Brit Rock มากมาย การประท้วงรัฐบาลของประชาชน และสิ่งต่างๆเหล่านี้มันก็ส่งผลกระทบกับชีวิตพวกเขาโดยตรง



(Oasis วงดนตรีจากเมืองแมนเชสเตอร์ที่มีอิทธิพลอย่างมากในยุค 90's แต่ขอโทษ วงนี้เป็นแฟนบอลซิตี้)


รวมทั้ง ฟุตบอลโลก คือ 1 ในเหตุการณ์ระดับชาติของอังกฤษ ซึ่งมันผูกติดกับชีวิตพวกเขาแบบที่ว่า ตัดสินพวกเขาไปทั้งชีวิตเลยทีเดียว

สารคดีนี้ ได้มีแขกรับเชิญพิเศษคนอื่นๆด้วย อย่าง Eric Harrison, Sir Alex Ferguson, Sir Bobby Charlton, Zinedine Zidane, Eric Cantona, Danny Boyle, Tony Blair, Mani ซึ่งแต่ละคนก็มีประสบการณ์ในช่วงยุค 90's แตกต่างกันไป ฟุตบอลถูกผูกไว้กับทุกอย่าง

หนังได้เลือกซีซั่นที่สำคัญยิ่งของ Class Of 92 รวมทั้งของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมา นั่นคือ ฤดูกาล 1998-99 ปีที่พวกเขาคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ เป็นเจ้าฟุตบอลยุโรป ด้วยเกมการแข่งขันที่มีคนถึงขั้นสาบานว่า

"จะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต"



หนังมีภาพเกมการแข่งขันในยุคต่างๆแทรกมาเป็นระยะ แต่แมตสำคัญที่หนังเลือกมาได้แก่

- FA CUP รอบ 4 ทีม Manchester United vs Liverpool
- FA CUP รองรองชนะเลิศ Manchester United vs Arsenal
- PREMIERE LEAGUE เกมสุดท้ายในปี 1999 Manchester United vs Tottenham Hotspurs
- FA CUP รอบชิงชนะเลิศ Manchester United vs Newcastle United
- UEFA CHAMPION LEAGUE รอบชิงชนะเลิศ Manchester United vs Bayern Munich

บทสัมภาษณ์ของนักเตะ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ความเป็นมา ว่าพวกเขาเข้ามาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้อย่างไร เหตุการณ์สำคัญอะไรที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม ซึ่งในช่วงสัมภาษณ์นักเตะแต่ละคนนั้น จะประกอบด้วย คอมเมนท์จากเพื่อนอีก 5 คนด้วย

สิ่งที่นักเตะทุกคนล้วนพูดเหมือนกันว่า พวกเขาต่างเป็น "ครอบครัว" ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญมาก เกิดในช่วงการสัมภาษณ์ของเดวิด เบคแฮม คือ ตอนที่เบคแฮม ได้รับใบแดงในฟุตบอลโลกตอนปี 1998 ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งส่งผลกระทบมากทั้งในระดับนักเตะ ระดับสโมสร รวมถึงระดับชาติ

เดวิด เบคแฮมถูกโจมตีจากสื่อในอังกฤษอย่างรุนแรง ซึ่งพาดหัวของ Mirror แทบลอยด์เล่มดังดูจะเป็นพาดหัวที่โด่งดังที่สุด

"10 Heroic Lions, One Stupid Boy"



เบคแฮมเล่าว่า "มันเลวร้าย" จริงๆสถานการณ์ในตอนนั้น ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาถูกโจมตี ทั้งเพื่อน และครอบครัว ที่เบคแฮมรู้สึกแย่คือ ครอบครัวเขาถูกผู้คนโจมตีเรื่องนี้ตลอดเวลาในตอนนั้น ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกแย่จริงๆ

"เมื่อผมกลับมาที่โอลด์ แทรฟอร์ด ที่นั่นมันเหมือนถูกครอบไว้ ไม่มีใครเข้าไปได้ และไม่มีใครออกมาได้ เรื่องเลวร้ายไม่ได้ถูกพูดถึงที่นั่น บอสบอกผมว่า ให้ผมไม่ต้องคิดมาก ไปพักผ่อนซะ เมื่อนายกลับมาทุกคนจะอยู่เคียงข้างนายแบบเดิม และสิ่งที่ผมประทับใจมาก คือ เขาปกป้องผมเสมอ"

เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน ปฏิเสธการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเดวิด เบคแฮมที่เป็นประเด็นร้อนแรงในขณะนั้น โดยบอกกับนักข่าวในห้องแถลงข่าวว่า "เราจะพูดกันแค่เรื่องของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"


  (ลูกยิงประตูครึ่งสนาม เป็นลูกแจ้งเกิดของเดวิด เบคแฮมที่ผู้คนยังจดจำมาจนทุกวันนี้)

สารคดีเริ่มด้วยภาพฟุตเทจของนัดชิง ยูฟ่าแชมเปียนลีกส์ปี 1999 ตอนจบสารคดีเลยจบด้วยผลการแข่งขัน เราต่างรู้ดีว่า ผลสกอร์ในวันนั้นเป็นเช่นไร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกงความตาย เอาชนะ บาร์เยิร์น มิวนิคได้ที่สกอร์ 2-1 โดย 2 ลูกนั้นมาจากช่วงทดเวลา 3 นาที

ปีนั้น Class Of 92 อยู่ในชุดที่พาทีัมคว้า 3 แชมป์ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด FA CUP,PREMIERE LEAGUE และ UEFA CHAMPION LEAGUE เป็น 3 แชมป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ยูไนเต็ดมีในรอบหลาย 10 ปี



  (ประตูที่ 2 จาก โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาตอนท้ายเกม ทำให้ยูไนเต็ด คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ในที่สุด)


สิ่งที่พาเราไปถึงจุดพีคจริงๆ ที่หนังอุตสาห์เลือกมาใส่ได้อย่างถูกเวลา คือ เสียงคอมเมนเตเตอร์ในเกมการแข่งขันนั้น

ภาพฉายไปที่นักเตะยูไนเต็ด ล้อมวงเข้ามารอถ่ายรูปกับถ้วยแชมป์

"แกรี่ เนวิลล์ 24 ปี,ฟิลล์ เนวิลล์ 22 ปี, เดวิด เบคแฮม 24 ปี, นิกกี้ บัตต์ 24 ปี, กิ๊กส์ 25 ปี ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนในอนาคต ผมจะไม่มีทางลืมภาพนี้เลย..."



ฤดูกาลนั้นจบลงด้วยถ้วยแชมป์ จาก นักเตะชุดที่เด็กที่สุด ที่เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสันได้โมเดลการทำทีมชุดเยาวชนจาก เซอร์ แมต บัสบี้ ในชุด "บัสบี้เบบส์" บัสบี้เบบส์ เคยเป็นความยิ่งใหญ่ของสโมสรด้วยการถล่มทีมมากมายในลีกส์ ด้วยนักเตะอายุน้อย แต่หลังจากโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ในมิวนิค ทำให้พวกเขาต้องจากไปตลอดกาล นักเตะในยุคนั้น เหลือเพียง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ฺลตัน เท่านั้น แม้พวกเขาจะไม่ได้ประสบความสำเร็จถึงขีดสุด แต่ก็ถูกจดจำในฐานะ นักเตะชุดที่ยอดเยี่ยมชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ทีม

และวันนี้บรรดานักเตะชุึดใหม่ ก็ได้รับเกียรตินั้นเช่นเดียวกัน
นี่คือนักเตะจากทีมเยาวชน ชุดที่ดีที่สุดจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด..


The Class Of 92




..................................................................................................................................................




จบแล้วจ้า นั่งดูเมื่อคืนด้วยความปวดร้าว ประเด็นคือ ไม่มีซับค่ะ อยากร้องไห้ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่พอจับใจความได้ โชคดีที่นักเตะหลายคนพูดภาษาอังกฤษชัด ขณะที่บางคนนี่ แทบอยากทุบหัวเลย ติดสำเนียงจนฟังไม่ออกว่าพูดอะไร ซึ่งว่าไปแล้วเราก็ดูไม่ค่อยแตกนะ เพราะหนังสารคดี จุดเด่นคือ เนื้อหา ใจความ ซึ่งเราเองก็ฟังออกไม่หมด เลยไม่ได้รับสารอย่างเต็มที่ แต่โดยเนื้อหาสาระก็พอทราบๆมาบ้างแล้ว ตอนดูเลยไม่ได้เป็นอุปสรรค์นัก

- กิ๊กส์ ตลกมาก เป็นคนเล่าเรื่องที่เก่งมาก มีตัวอย่าง มีตบมุก ท่าทางเฮฮาตลกๆตลอด ชอบตอนนึงที่พูดถึงฟิลล์ เนวิลล์ แล้วบอกว่า

"ตอนนั้นเยี่ยมมากเลยนะ ผมก้าวลงไปในสนามแล้วแฟนๆร้องเพลงของผมให้ 'ฟิล ฟิ่ล ฟิ้ลลล~..' เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ละๆๆๆๆ..." คือตอนนั้นกิ๊กส์จะบอกว่า ฟิลล์ได้รับความนิยมมากในหมู่แฟนๆ เป็นคนที่พูดอังกฤษแล้วเราฟังง่ายสุด

- แกรี่ หล่อมาก คือหล่อมาแต่ไหนแต่ไรจริงๆ เป็นพี่ใหญ่ที่ทุกคนดูนับถือมาก (หรา) ส่วนใหญ่เพื่อนๆจะบอกว่า กิ๊กส์นี่เป็นผู้นำอย่างแท้จริงเลย



- เบคแฮม .. คิดว่าจะฟังยาก ที่ไหนได้ เบคแฮมพูดฟังง่ายนะ คือนั่งฟังยาวๆนี่เพลินเลย เสียงไม่ได้เป็ดขนาดนั้นด้วย หล่อด้วยที่สำคัญ เบคแฮมเล่าเรื่องความคลั่งของตัวเองกับสโมสรได้น่ารักดี เล่าว่าตอนเด็กๆ พ่อกับปู่พยายาม ชิงตัวเขาสุดฤทธิ์ให้หันไปเชียร์ ยูไนเต็ด หรือ ทีมที่ปู่เชียร์คือท็อธแนม สุดท้ายเบคก็เลือก ยูไนเต็ด ตอนที่เขาได้เซนสัญญาครั้งแรก เบคบ้าสโมสรมาก บอกว่าวันแรกที่ได้เข้าห้องแต่งตัว เขาไปช่วยคนดูแล เก็บถุงเท้า กางเกง เสื้อ สกปรกที่นักเตะถอดทิ้งไว้กับพื้น ด้วยความตื่นเต้น เพราะรู้สึกว่า ที่นี่มันสุดยอดจริงๆ

- บัตต์ กับ สโคล เป็น 2 คนสุดท้ายที่แบบ ... เอิ่บบบบ.. บัตต์พูดเร็ว และ ฟังไม่รู้เรื่อง T_T ขณะที่สโคลพูดช้า แต่ยิ่งกว่าสโคลคือ ฟังไม่รู้เรื่องเลย! (สำหรับเรา) ฟังออกไม่กี่คำที่สโคลพูด หนึ่งในนั้นคือคำว่า Football (เค้าขอโทษ -*-)



สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือ การสัมภาษณ์ของแต่ละคนดู ธรรมชาติมาก (อย่างว่าเป็นมืออาชีำพด้านนี้กันไปแล้ว) กับอีกส่วนคือช่วง Candid ตอนนั่งกินข้าวแล้วคุยเรื่องสัพเพเหระ คือ ด้วยความที่ทั้งหมดไม่ใช่นักแสดง เราเลยรู้สึกว่า มันธรรมชาิติมากเลย เพราะ .. การจะหาหัวข้ออะไรสักอย่างมาคุย เหมือนไปนั่งกินข้าวกันเองจริงๆ มันก็ค่อนข้างจะดูแปลกๆ แต่ทุกคนทำได้ดีมาก ฮาแตก ผ่อนคลาย เป็นกันเอง และดู

หนังเข้าฉายในอังกฤษแบบจำกัดโรงภาพยนตร์ไปเมื่อเดือน พฤศจิกายน ด้วยฟอร์มและประเภทหนังทำให้เรามั่นใจว่า ไม่มีทางได้เข้าฉายในไทยแน่นอนค่ะ และยิ่งเป็นไปได้ยากใหญ่ที่จะมีแบบ DVD ขาย (ซึ่งอาจจะมีก็ได้) เพราะฉะนั้นใครอยากดูก็ลองหากันเอาเองเลยค่ะ แต่ยังไม่มีซับออกมานะจ๊า ..

FB : https://www.facebook.com/poprockonfilm
FOLLOW : http://twitter.com/alfredpoprock
< >

Fruitvale Station : ตลอดไป อย่างไร?



(เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)

สร้างจากเรื่องจริงอันโด่งดังในปี 2009 เกี่ยวกับการเสียชีวิตของ ออสการ์ แกรนท์ ชายวัย 22 ปี การความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุม เหตุการณ์นี้สร้างปรากฏการณ์ครึกโครมในโลกโซเชียล เมื่อมีคนบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้ และถูกเผยแพร่ให้เห็นถึงเหตุการณ์สุดเลวร้ายนี้

นี่คือผลงานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวครั้งแรก ของผู้กำกับผิวสีหน้าใหม่อย่าง Ryan Coogler ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะ ไรอันพึ่งทำหนังสั้นมาแค่เพียง 4 เรื่องเท่านั้นก่อนมาจับงานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวชิ้นนี้ และ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการกวาดรางวัลยอดเยี่ยมเกือบทุกงานเทศกาลที่หนังได้ฉาย

หนังถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Sundance Film Festival 2013 เมื่อเดือนมกราคม และสามารถคว้า 2 รางวัลใหญ่ของงานได้ในที่สุด คือ รางวัลภาพยนตร์ดราม่ายอดเยี่ยม U.S. Grand Jury Prize: Dramatic และ รางวัลขวัญใจผู้ชม Audience Award: U.S. Dramatic ได้ หลังจากนั้น ทุกเวทีที่ Fruitvail Station เดินสาย ก็ล้วนได้รางวัลติดไม้ติดมือมาทั้งสิ้น (หนังสายเทศกาล แจ่มแจ๋ว)

ไรอัน คูเกลอร์ เป็นนักทำหนังมือใหม่ที่พึ่งเรียนจบจากวิทยาลัยศิลปะ ในวันที่แกรนท์ตาย ไรอันพึ่งจบการศึกษา เมื่อเขาทำหนัง เขาเลยอยากทำหนังเกี่ยวกับชีวิตของ ออสการ์ แกรนท์

"โลกต้องได้รู้เรื่องของออสการ์ แกรนท์ หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับใครอีก มันจะไม่ใช่แค่ข่าวที่คุณได้อ่านบนหน้าหนังสือพิมพ์"

ไรอันได้พบกับโปรดิวเซอร์ค่ายหนังโดยบังเอิญ ขณะที่ตอนนั้น ฟอร์เรส วิธเทกเกอร์ ดาราผิวสีชื่อดังกำลังเฟ้นหาผู้ำกำักับเลือดใหม่อยู่ ไรอันเสนอโปรเจ็คของเขา และ ฟอร์เรสก็สนใจ เรื่องราวของ ออสการ์ แกรนท์ จึงถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในที่สุด



สำหรับคนที่ไม่เคยทราบเหตุการณ์นี้มาก่อนหรือไม่ได้อ่านเรื่องย่อก่อนดู ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรนัก เพราะหนังหยิบเอา คลิปวิดิโออันโด่งดังมาให้เราดูตั้งแต่เริ่มต้นหนัง เหตุการณ์การจับกุม และ ถูกจ่อยิง ก่อนเข้าสู่เรื่องราวของชีวิต ออสการ์ แกรนท์

หนังครึ่งแรกพาเราไปดูชีวิตสุดปกติธรรมดาของออสการ์ แกรนท์ เขาไม่ใช่นักบุญ หรือ คนดีมากมายอะไรนัก เขาใช้ชีวิตผิดพลาดบ้าง เคยนอกใจ และ ถูกไล่ออกจากงาน แต่กระนั้นเขาก็รักครอบครัว เสียน้ำตาให้หมาถูกรถชน ช่วยเหลือคนแปลกหน้าในซุปเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ หนังครึ่งแรกปูให้เราเห็นว่า ออสการ์เป็น "คนใจดี" ขนาดไหน ทั้งที่เขาเองก็มีปัญหาส่วนตัวค่อนข้างมาก เพราะมีครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย

เราดูไปได้ครึ่งนึงจนแอบรู้สึกว่า "อืมม ... มันธรรมดาจริงๆนะ" แปลกใจนิดหน่อยที่หนังกวาดรางวัลเยอะมาก หนังดำเนินเรื่องธรรมดามาก แต่ที่น่าแปลกคือมันไม่น่าเบื่อเลย อาจเพราะการแสดงของ ไมเคิล บี จอร์แดน ที่ดูน่าติดตาม และนักแสดงคนอื่นๆที่แม้จะไม่มีฉากที่ต้องปรบมือชื่นชมกับฝีมือการแสดง แต่กลับทำให้เรารู้สึกคุ้นเคย และดูได้เพลินๆ




จนกระทั่ง ...

ฉากที่น่าจะเป็นไคลแม็กซ์ของเรื่อง คือ ฉากที่ ออสการ์ ถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

แม้ ...
เราจะทราบมาตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า ออสการ์จะถูกยิง แต่ฉากยิงนี้เอง คนดูแบบดิฉันถึงขั้นหลุดสะอื้นแล้วร้องไห้โฮจนต้องเอามือมาปิดปากกลั้นเสียงร้องเลยทีเดียว ... แล้วก็ร้องอยู่แบบนั้นจนกระทั่งจบซีน ... เป็นฉากที่น่ากลัว และ เลวร้ายจริงๆ

(คุณอาจไม่เชื่อเกจวัดน้ำตาอิฉัน เพราะรู้สึกว่าจะร้องแม่งทุกเรื่อง -*-)

อาจเรียกได้ว่า นี่เป็นหนังที่ไม่ไ่ด้มีการตั้ง องก์ 1 องก์ 2 องก์ 3 อะไรมาเลย หนังดำเนินเรื่องมาเอื่อยๆตลอดเรื่องแล้วก็ โป้งเดียวจอด! ตอนจบ

สิ่งที่ทำให้เคสการเสียชีวิตของออสการ์ โด่งดังเพราะว่า ในเหตุการณ์นั้น ออสการ์ไม่ได้เป็นผู้มีความผิดโดยตรง เขาและเพื่อนถูกคู่อริหาเรื่องในรถไฟฟ้าก่อนถึงสถานี Fruitvale แต่เมื่อตำรวจขึ้นมาสอบสวนบนรถไฟฟ้ากลับจับเขาและเพื่อนไปเป็นผู้ต้องสงสัย เมื่อไม่มีความยินยอม จึงเกิดการขัดขืน เพื่อนของเขาถูกตำรวจอัดและทำร้าย คนอื่นๆในบริเวณนั้นพยายามเข้ามาช่วย แต่เหตุการณ์กลับยิ่งบานปลาย จนกระทั่งออสการ์และเพื่อนถูกสั่งขัง ทั้งที่พวกตนเองไม่ใช่คนก่อเรื่อง แต่กลับถูกสั่งขัง ออสการ์จึงโพล่งออกไปว่า

เพราะพวกเขาเป็นคนดำใช่มั้ย?

นั่นทำให้ตำรวจใส่กุญแจมือเขา ทั้งที่เขาเป็นคนพยายามบอกให้เพื่อนๆอย่าใจร้อนก็ตามที ขณะที่เขาถูกใส่กุญแจมือ ตำรวจคนนึงก็ยิงเขาที่หลัง ..

ออสการ์ แกรนท์ เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 22 ปีในเช้าวันปีใหม่ ของปี 2009

ตอนเริ่มเรื่อง ออสการ์ สัญญากับภรรยาของเขาว่า "เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"
ภรรยาของเขาถามกลับว่า "ตลอดไป ยังไง?"

ตลอดไป
เป็นคำที่ เปราะบางที่สุด
เพราะมันพร้อมถูกทำลายได้ทุกเมื่อ

นี่เป็นหนังที่ได้รับคำเยินยอจากทั่วทุกสารทิศว่า เป็นหนังที่ควรดู เพราะมันพูดถึงชีวิตคนธรรมดา ที่ไม่ได้มีภารกิจยิ่งใหญ่อะไร แค่ต้องใช้ชีวิต ดูแลครอบครัว แต่วันนึง ความตายกลับมาเยือนเขาแบบที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ เหตุการณ์ ของออสการ์ แกรนท์ กลายเป็นเคสตัวอย่างในอเมริกา มันเกิดปรากฏการณ์มากมาย เพื่อที่จะไม่ให้มีเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับออสการ์ เกิดขึ้นกับใครๆอีก

ตลอดไป





ตอนดูทีแรกรู้สึก อืม .. พนังธรรมดาจัง พอดูไปเรื่อยๆ อืม .. ทำไมแสดงดีกันจังฟะ คือ ไม่ได้แสดงใหญ่อะไรเลย แสดงธรรมดามาก แต่กลับดีมากดูคุ้นเคยและเป็นกันเองมาก touch สุดๆ

หนังได้รับ 28 รางวัล และ เข้าชิงอีก 12 รางวัล


< >

Chrismas Movie : Out Of Furnace รัสซ์ เตาหลอม ปะทะ ฮาร์ล ไข้โป้ง





หลายคนคงมีหนังประจำคริสมาสต์กันอยู่แล้ว แบบ .. หยิบหนังน่ารักกุ๊บกิ๊บ คริสมาสต์ ปีใหม่ อบอุ่นน่าร๊าก อะไรแบบนี้มาดูใช่มะ แต่พอดีของเรามันแบบว่า ... เอิ่บ ... นึกอยากดูเรื่องนี้ก็เลยดูเท่านั้นเอง
ตอนดูลืมไปด้วยเหอะว่าเป็นคืน คริสมาสต์ (แแร๊ะไงงงงงงเหรอ????)

คืองี้

แม้จะตั้งชื่อไทยให้ดูเหมือนหนังต่อสู้บ้านนา เอาฮา
แต่จริงๆแล้วหนังมันเครียดและเศร้ามาก แม้หน้าหนังจะดูเหมือนแอคชั่นก็ตามเถอะ

นี่คืองานกำกับของ ผู้กำกับสุดหล่อ Scott Cooper ที่เมื่อแรกเริ่มที่เห็นใบปิดก็รู้สึก เดจาวูทันที
อัลไลกัน? นี่มัน Crazy Heart ภาค 2 เร้อะ... ปกคล้ายกันซะขนาดนี้

จุดเริ่มต้นของหนัง Out Of Furnace เป็นอะไรที่น่าประทับใจสำหรับเรามาก มันเริ่มจากการที่ สก็อต คูเปอร์บังเอิญได้อ่านบทความเกี่ยวกับเมือง Braddrock ในเพนซิลเวเนีย นั่นคือ เมืองที่เป็นโรงถลุงแร่เหล็กเก่าแก่ และมันกำลังใกล้จะปิดตัวลง

จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสเดินทางไปดูโรงงานถลุงแร่นี้ด้วยตัวเอง เมื่อคูเปอร์ได้เห็นภาพของโรงงาน เขาก็โป๊ะเชะ เลือกโรงงานนี้เป็นโลเกชั่นถ่ายทำทันที โดย ได้รื้อบทหนังเก่าที่เคยจะถูกสร้างเป็นหนังตอนปี 2008 อย่าง The Low Dweller มาใช้เป็นพลอตเรื่องของหนังเรื่องใหม่ ที่ชื่อว่า Out Of Furnace นี่เอง




Out Of Furnace เป็นเรื่องราวของ 2 พี่น้อง ร็อดนี่ (เคซี่ เอฟเฟล็ค) และ รัสส์เซล (คริสเตียน เบล) ที่เกิดและเติบโตในเมืองที่มีธุรกิจโรงงานถลุงแร่เหล็ก ร็อดนี่ไม่ชอบงานในโรงเหล็ก เขาเลยไปเป็นทหารที่อิรัก ขณะที่ รัสส์เซลกลับเลือกทำงานในโรงเหล็กแบบที่พ่อเขาเคยทำ ทั้งคู่มีพ่ออายุมากที่ป่วยต้องดูแล และเป็นเหมือนมนุษย์ทำงานธรรมดาทั่วไป คือ แม้จะทำงานหนักแค่ไหนแต่ก็ยังมีเงินไม่พอใช้ และยังเป็นหนี้อยู่ดี

จนกระทั่งวันหนึ่ง รัสส์เซล ดันต้องคดีเมาแล้วขับ เขาถูกลงโทษให้ติดคุก

นี่เหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่ เหตุการณ์ เหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น ความสมจริงและธรรมชาติของหนังคูเปอร์คือ เขาแค่เล่าเรื่องไปเรื่อยๆ แทบไม่บอกว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร หรือ ตัวละครเหล่านั้นคือใคร

จุดนึงที่ชอบมาก คือ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีการอ้างอิงระยะเวลาเลยว่า นานมากแค่ไหน หรือระหว่างนั้นเกิดอะไร โลกในคุกและโลกภายนอก เปลี่ยนไปขนาดนั้น หรือแม้แต่ตอนที่ตัวละครกลับมาใช้ชีวิตปกติ ยังไม่มีการพูดถึงระยะเวลาของหนังเลย ทั้งที่จริงๆแล้ว เรื่องเหล่านั้นมันเป็นประเด็นสำคัญของ "ชีิวิต" ตัวละครเลย

 แยกไม่ออกคนไหนผกก. คนไหน นักแสดง บอกเลย >////<


ที่ดูเหมือนหนังจะยืดยาดและเรียบเรื่อยไร้จุดพีคไปหน่อย คือ กว่าหนังจะขมวดเข้าสาระสำคัญจริงๆก็นานมาก จะว่าไปแล้ว ประเด็นของหนังมันกว้างมากต่างหาก นั่นคือ มันครอบคลุมทั้งเรื่องมาตั้งแต่ต้น เรื่องราวชีวิตของผู้ชายคนนึง คนที่เป็นทั้งพี่ ทั้งแฟน ทั้งพ่อ ทั้งคนธรรมดา ..

หนังทำ ให้เราเสียน้ำตาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง เพราะการแสดงนำของ 2 นักแสดงอย่าง คริสเตียน เบล และ เคซี่ เอฟเฟล็ค ทั้งคู่ทำให้เรารู้สึกว่า นี่คือพี่น้องที่สนิทกันจริงๆ แม้จะไม่มีบทพูดซึ้งๆเลยสักนิดเดียว เพราะแค่คำว่า "ฉันรักนาย" หรือ "โอเค" ก็ทำให้เราน้ำตาแตกได้แล้ว




จุดเปลี่ยนของหนังจริงๆคือ ความตายของร็อดนี่ ทำให้ รัสเซลล์ที่เป็น "คนทำงานธรรมดาจริงๆ" อยากแก้แค้นให้น้องชาย และคนที่ฆ่าร็อดนี่ย์ก็คือ ฮาร์ล (วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน) นั่นเอง

บางครั้งการต่อสู้ก็เลือกคุณ ..

หนังครึ่งหลังนี้สำหรับเราให้ความรู้สึกเหมือน Gran Torino อยู่หน่อยๆ เพราะเรื่องราวดิบห่ามเหล่านี้มันเกิดขึ้นในชีวิตคนธรรมดาจริงๆ คนธรรมดาที่อยากต่อสู้บ้าง แม้จะดูตลกในสายตาคนอื่นก็ตาม

ตอนที่เราดู เราไม่รู้ว่าคำว่า Furnace นั้นแปลว่าอะไร กะว่าดูจบแล้วจะเปิดหาคำแปลดู จนหนังมันใกล้จบจริงๆก็อดรนทนไม่ได้ หาคำแปลดู โอ้ .. มันแปลว่า "เตาหลอม" นั่นเอง

ตอนจบของหนัง คือ ที่มาของคำว่า Out Of Furnace นั่นเอง ...




คนที่ชอบ Gran Torino หรือ หนังแนวพี่น้องแบบ The Fighter หรือ Warior อาจจะชอบ Out Of Furnace
ส่วนเรา สำหรับเราชอบนะ ตอนเขียนนี่ยังแอบน้ำตาซึมหน่อยๆ เรื่องพี่ชายน้องชายมันเป็นอะไรที่ซึ้งมากสำหรับเรา T_T

4/5



Trailer ::

 

FB : https://www.facebook.com/poprockonfilm



< >