Popular Posts

OSCARS BEST PICTURE NOMINEES 2014 : #1 'HER' THE WEIRD LOVE STORY

ตอนนี้กำลังพยายามตามเก็บหนังหลายๆเรื่องที่พลาดไปเมื่อช่วงต้นปีถึงกลางปี เลยนึกขึ้นได้ว่าอยากเขียนรีวิวเกี่ยวกับหนังที่ได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งเราดูไปแล้วเกือบครึ่งนึง และส่วนใหญ่จะเป็นหนังใหม่ๆ ทั้งสิ้น

ใครเคยอ่านรีวิวหนังของเรามาก่อนคงพอจะจำได้ว่าเป็นคนชอบเขียนยาวๆๆๆๆมากๆๆๆๆๆ แต่คราวนี้ขออณุญาติเขียนสั้นๆค่ะ เพราะว่านี่เป็นหนังอีกเรื่องที่เราสับสนกับการเขียนรีวิวพอสมควร และยังต้องพยายามเขียนแบบหนีสปอล์ยด้วย

ใครรอชมเรื่องนี้อยู่ ไปอ่านรีวิวกันได้เลยค่ะ รีวิวตามตัวอย่างภาพยนตร์และเรื่องย่อไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ (คิดว่าไม่เปิดสุดๆแล้วนะคะ)

https://www.facebook.com/poprockonfilm




'HER' THE WEIRD LOVE STORY

เรื่องย่อของ her คือ ผู้ชายคนหนึ่งหลงรัก เสียงผู้หญิง(คนหนึ่ง)ที่อยู่ในเครื่องตอบรับอัติโนมัติ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องจบลงด้วยความรักที่ "ไม่สมหวัง"

จากพลอตเรื่อง จากการดำเนินเรื่อง จากรายละเอียดยิบย่อย และ ความจงใจบางอย่างที่หนังพยายามสอดแทรกมาตลอดทั้งเรื่องทำให้เราอาจรู้สึกว่าหนังพยายามจะ "สะท้อน" โลกในยุคโซเชียล ที่ผู้คนให้ความสนใจกับตัวเองและบุคคลในโลกออกไลน์มากกว่า จนอาจหลงลืมคนใกล้ตัวและการสนทนาต่อหน้าไปแล้ว แต่ที่จริงแล้วหนังมันค่อนข้างซับซ้อนกว่านั้นมาก

เรื่องโลกโซเชียลนั่นเป็นแค่ประเด็นผิวเผินไปเลย


HER

นี่เป็นหนังเรื่องนึงที่เราดูแล้วรู้สึกสับสนมากๆกับการอธิบายให้คนอื่นฟังว่ามันเป็นหนังแนวไหน หรือ หนังอะไร แน่นอนว่ามันเป็นหนัง Romantic-Drama แต่การเล่าเรื่องและเหตุการณ์ในเรื่องมันออกจะ Sci-fi อยู่บ้าง และเอาเข้าจริง หนังมันก็ดำเนินอยู่บนเงื่อนไขทั้ง 3 นั่นแหละ "เรื่องรักสุดเศร้าบนเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในโลกอนาคต"

จะว่าไปแล้ว เราก็อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านนะ ..

เพราะถ้าจะให้ระบุให้ชี้ชัดไปหน่อยจริงๆ นี่คือหนัง ที่ผู้ชายโรแมนติคคนหนึ่ง หลงรักหญิงสาวสุดฉลาดเฉลียวแต่เธอเป็นแค่เพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งที่มองเห็นใกล้เคียงที่สุดในยุคนี้คือ เขาหลงรักโปรแกรม Siri : Operating System ที่พัฒนาโดย Apple นั่นแหละ

ซึ่งสไปก์ โจนซ์เองก็บอกว่า ตอนที่เขาเริ่มเขียนบทของ her ได้คือตอนที่ Siri เปิดตัวตอนปี 2011 นั่นแหละ และความหมายของคำว่า Siri (ภาษานอรเวย์) ที่แทบจะกลายมาเป็นเรื่องย่อของหนังได้เลยก็คือ "หญิงสาวแสนสวยผู้ที่จะพาคุณไปสู่ชัยชนะ"

โจนซ์บอกว่า จริงๆแล้วเขามีไอเดียเกี่ยวกับการทำหนังรัก ทำนองนี้มานานมาก ราวๆ 10 ปีก่อนเขาเคยได้อ่านบทความวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ จนกระทั่งเมื่อวิทยาการมันกลายมาเป็นเรื่องจริงในปัจจุบัน โจนซ์จึงเริ่มต้นกับการทำหนังเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที





THE WEIRD

ประโยคนึงที่ ธีโอดอร์ (วาคีน ฟินิกซ์) เผลอหลุดพูดไปในหนังคือ "นี่มันประหลาดเป็นบ้า"
นั่นเป็นประโยคหนึ่งที่ผู้ชายไม่ควรพูดหากเขากำลัง เฟลิร์ตกับผู้หญิง และนั่นทำให้หนังรักเรื่องนี้เต็มไปด้วยจังหวะขึ้นๆลงๆตลอดเวลา เหมือนจังหวะชีพจรหัวใจนั่นแหละ มันอาจเต้นรัวเร็วตลอดเวลาตอนที่เราตื่น และบางครั้งมันก็เนิบช้าจนน่าเศร้าตอนที่เราหลับ ...

ความแปลกที่ว่านี้ไม่ได้มาจากการที่หนังแสดงให้เห็นค่านิยม หรือ พฤติกรรมประหลาดๆอะไร แบบที่หนังที่เรานิยามว่า "WEIRD" หลายๆเรื่องเป็น แต่ถ้าเทียบกับ "หนังรักทั่วไป" และ "ความรักทั่วไป" นี่ก็เป็นความประหลาดพอสมควรเลยทีเดียว และในความประหลาดจาก "ไอเดียเริ่มต้น" ของหนังยังซ้อนทับไปด้วยพฤติกรรมและการตัดสินใจประหลาดๆของตัวละคร ที่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกแปลกใจ แต่เรากลับรู้สึก "เศร้า" มากกว่า

หากคุณคิดว่า "โอ้ นี่มันคงเป็นหนังรักอินดี้ประหลาดๆสินะ" นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะงานของสไปก์ โจนซ์ แม้จะประหลาด แต่เขาห่างไกลกับคำว่าอินดี้พอสมควร .. เพราะจริงๆแล้ว หนังของสไปก์ไม่น่าจะถูกเรียกว่าอินดี้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณนิยามคำว่าอินดี้ไว้ว่าอย่างไร หนังเงียบๆ วิ้งๆ เนิบๆ พูดกันน้อยๆ ภาพแช่ๆ แสดงออกทางสีหน้าและอารมณ์บนใบหน้าไม่ใช่บทพูด ... ถ้านิยามหนังอินดี้เป็นเช่นนั้น ก็ตัด her ทิ้งไปได้เลย

นี่มันหนังรักธรรมดา แต่มันทำให้เราเศร้าแทบ "บ้า" แค่นั้นเอง

โจนซ์บอกว่า ตอนที่เขากำกับและเขียนบท her เขาพยายามยึดลักษณะการทำงานมาจาก Charlie Kaufman ตอนที่เขาได้ร่วมงานอำนวยการสร้างและคอฟแมนรับหน้าที่เขียนบท Synecdoche, New York (2008) โจนซ์บอกว่า เขาชอบไอเดียการทำงานของคัฟแมนมากๆตอนที่เขาทำ Synecdoche,New York คอฟแมนเป็นคนเขียนบทประเภทที่ คิดอะไรก็ก็เขียนไปเลย ไอเดียอะไรที่นึกออกก็ใส่ไปไม่ยั้ง โจนซ?เลยพยายามทำแบบนั้นบ้างกับ her เพราะฉะนั้น her มันเลยเป็นหนังที่เต็มไปด้วยจังหวะอารมณ์ที่หลากหลายมากๆ

ทั้ง flash back, เสียงดนตรี, บทพูด, การเฟดภาพ ทุกอย่างมันละเอียดไปหมด
คุณลองจินตนาการการใช้ชีวิตและสิ่งที่คุณคิดอยู่ในสมองของคุณดู สไปก์ โจนซ์ เล่าเรื่องแบบนั้น..
ความคิดชั่วแล่น,ภาพตัดสลับ,มุมมองแทนสายตา,เสียงที่ดังขึ้นในสมอง

ถามว่ามันดูมั่วไหม บอกเลยว่าไม่ แต่คุณจะรู้สึกว่า นี่คือข้อเท็จจริง อยู่บนหลักวิทยาศาสตร์
มีสองสิ่งที่ไม่อาจห้ามได้ คือ "ห้ามใจ" และ "ห้ามความคิด"

สมองอันวุ่นวาย และ หัวใจที่เต้นรัว
คุณห้ามมันไม่ได้หรอกนะ ...




LOVE STORY

"เรื่องราวความรักระหว่าง มนุษย์ และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์" อันที่จริงแล้วมันดูน้ำเน่าเอามากๆ เหมือนที่ก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องทำนองเดียวกันแบบว่า หุ่นยนต์มีความรัก ตุ๊กตาไม้อยากเป็นคน อะไรทำนองนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่อย่าลืมว่านี่คือ สไปก์ โจนซ์ ผู้กำกับเด็กแนว ... หนังของเขาไม่เคยมีคำว่า "ทั่วไป"

เมื่อคุณได้รู้เรื่องย่อ เราขอเดาว่าเกือบ 100 เปอร์เซนต์ ทุกคนต้องแอบเดาตอนจบว่าจะจบอย่างไร เพราะนี่มันเป็นความรักบนเงื่อนไขที่สมหวังได้ยากเหลือเกิน แต่ "ความรักชนะทุกอย่างได้นะ" ก็มาลองดูกันว่า บนเงื่อนไขนี้ ความรักจะเอาชนะมันได้จริงๆหรือไม่?

แม้ไม่อาจเอาไปเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆได้ แต่หนังก็ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะคิดถึง Ruby Sparks (2012) และ Like Crazy (2011) แม้มันจะไม่เหมือนกันเลยก็ตาม แต่ด้วยความเหงาๆ เปลี่ยวๆ แต่ไม่ถึงขั้น วิ้ง เนิบนาบ ของหนัง ทำให้เรารู้สึกว่า มันมีบางอารมณ์ที่คล้ายๆกันอยู่

ธีโอดอร์ ทวอมลีย์ (วาคีน ฟินิกซ์) เป็นนักเขียนจดหมายรัก แต่ดันมีปัญหากับควมรักของตนเองจนต้องแยกกันอยู่กับภรรยา (รูนี่ย์ มาร่า) และลูกสาว ... ซาแมนธา (สการ์เลต โจแฮนสัน) คือ โปรแกรมตอบรับอัติโนมัติที่เขาพึ่งทำความรู้จัก และด้วยความฉลาดและความเอาใจใส่ของเธอ ธีโอดอร์ก็หลงรักเธอแบบไม่รู้ตัว ระหว่างนั้นยังมีความสัมพันธ์ของเพื่อนรักคนเดียวของเขาอย่าง เอมี่ (เอมี่ อดัมส์) เป็นกรณีศึกษาให้ธีโอดอร์ได้เฝ้าดู และสุดท้าย ความรักของเขากับโปรแกรมตอบรับจะจบลงอย่างไร คุณคงเดาออก ..

คงจะดี.. หากมันเป็นเหมือนตอนจบของหนังรักทั่วไปๆ

หนังพยายามสร้างคู่รักแบบต่างๆเพื่อเปรียบเทียบกับความรักของ ธีโอดอร์ ทั้งคู่รักข้าวใหม่ปลามัน คู่รักที่เลิกรา คู่รักชั่วข้ามคืน เหนืออื่นใด หนังไม่ได้ตัดสินว่า ความรักแบบไหนที่จีรังยั่งยืน หรือ ความรักแบบไหนจึงจะถูกต้องเหมาะสม เพราะหนังเองก็ดำเนินอยู่บนปัจจัยที่ฟังดูเน่าๆของความรักคือ

ความรักไม่เคยเลือก เวลาและสถานที่ รวมทั้งไม่เคยเลือกว่าจะเกิดขึ้นกับใคร

สิ่งที่โดดเด่นนอกจากจะเป็นการแสดงแบบ "โซโล่เดี่ยว" ลุย(คุย)คนเดียวของ วาคีน ฟินิกซ์ แล้วยังต้องขอยืนยันว่า (เสียง)สกาเล็ต โจฮันสันเป็นอะไรที่เพริศแพร้วและสุดยอดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอหัวเราะจนเสียงแหบ, การหยอกล้อแบบติดสำเนียงขี้เล่นเซ็กซี่ รวมทั้งเสียงคราง(กระเส่า) ของเธอ ทำให้เราหลงรักเสียงเธอได้ไม่ยากจริงๆ (มิน่า ทำไมธีโอดอร์เคลิ้มขนาดนั้น)





OSCARS NOMINATIONS

ทำไมหนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
: อาจเพราะความจัดจ้านและความสดใหม่ทางการเล่าเรื่อง รวมทั้งการแสดงของนักแสดงที่แทบไม่หลุดออกนอกวงโคจร วี่แววออกทะเลไม่มีมาให้เห็น เป็นหนังที่แน่วแน่กับแกนหลักของเรื่องมาก และส่วนหนึ่งอาจเพราะ ให้เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมเป็นรางวัลปลอบใจที่ สไปก์ โจนซ์ไม่ได้เข้าขิงสาขา ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนั่นเอง

ทำไมหนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม
: นี่เป็นหนังที่แทบไม่ได้มีการร้องเพลงแบบจริงจัง แต่การที่ตัวละครร้องเพลงออกมา รวมทั้งเพลงประกอบมันทำให้เรารู้สึกว่า เพลงเพลงนี้มันกระแทกใจจริงๆ ถือเป็นส่วนผสมนึงที่แทบขาดไม่ได้ และสำคัญมากที่ทำให้เราอินกับหนังได้ขนาดนี้ โดยดเพราะอย่างยิ่งกับการเลือก The Moon Song ของ Yeah yeah Yeah! มา Cover!!!!

ทำไมหนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
: เหมือนข้างบนคือ เพลงและดนตรี เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยบิวด์หนังมากจริงๆ จนบางครั้งเรายังแอบคิดว่า เหมือนดูมิวสิควิดิโอขนาดความยาว เกือบ 2 ช.ม. อยู่ ... เปียโน เป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะสมมากๆสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะมันสามารถให้เสียงที่เศร้าและอบอุ่นได้ในเวลาเดียวกัน อ้อ ยังมีเสียง อุเคเลเล่ด้วยนะ ..

ทำไมหนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
: หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแฟชั่นหรูหราฟูฟ่าอลังการ ไม่ได้เป็นแฟชั่นแนวย้อนยุคเก็บรายละเอียดดีเยี่ยม รวมทั้งไม่ใช่เสื้อผ้าล้ำนำเทรนด์โลกอนาคต แต่เสื้อผ้าของนักแสดงในเรื่องเป็นแฟชั่นยุคปัจจุบัน ที่คุณจะรู้สึกว่า มันกลมกลืนไปกับหนังแทบแยกกันไม่ออก จุดสำคัญคือ การ Match สี  ของเสื้อผ้าและธีมของหนังรวมทั้งสถานที่ คุณจะเห็นได้ว่า เมื่อเราได้เห็นเสื้อผ้าของนักแสดงแต่ละครั้ง มันทำให้เราแทบจะอุทานว่า "โอยยย สีสวยมากเลย" หรือไม่ก็ "ชอบชุดนี้มากเลยยยยย" เกือบจะตลอดทั้งเรื่อง

ทำไมหนังได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม
: แน่นอนว่ามันมีเหตุผลคล้ายๆกับที่ทำไมได้เข้าชิงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เพียงแต่ว่า สาขานี้ไม่น่าใช่เพียงเพื่อการปลอบใจ แต่เพราะ her มีดีและโดดเด่นมากพอจะเต็งเข้าวินได้เลยในสาขานี้

รอบสื่อมวลชน : 28 มกราคม 2014
เข้าฉายจริง :  6 กุมภาพันธ์ 2014
< >

The Secret Life Of Walter Mitty : คุณทำให้งานสำเร็จ ...



สร้างจากหนังสือเรื่องสั้น ที่ว่าด้วยชายกลัวเมียคนหนึ่งที่ชอบเพ้อฝันลมๆแล้งๆ จนแทบแยกชีวิตจริงกับโลกแห่งความฝันไม่ออก ในโลกแห่งจินตนาการนั้น เขาคือ ฮีโร่และเต็มไปด้วยเรื่องราวผจญชีวิตอันน่าตื่นตา ถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งฉบับหนังเมื่อปี 1948 นั้นก็ค่อนข้างจะออกทะเลจากฉบับหนังสือพอสมควร จนกระทั่ง หนังได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปในปี 2000 โดย วอลท์ ดิสนีย์ โปรเจคเปลี่ยนมืออยู่หลายครั้งหลายคน ทั้งสตูดิโอ และผู้กำกับ แม้แต่รายชื่อนักแสดง จนกระทั่งมาลงล็อคเอาจนได้ตอนปี 2011 เบน สติลเลอร์ ดาราตลก ที่ผันตัวมาทำงานด้านโปรดิวเซอร์และกำกับภาพยนตร์ ได้รับผิดชอบโปรเจคนี้ โดยเขาได้รับหน้าที่ กำกับ รวมทั้งเป็นนักแสดงนำ

เบน สติลเลอร์ เป็น วอลเตอร์ มิตตี้ ...

เนื่องจากฉบับภาพยนตร์ในปี 2013 ของเบน สติลเลอร์นั้นแทบไม่เหมือนกับฉบับหนังสือเลย (ยกเว้นเรื่องอาการหลุดโลก) เพราะฉะนั้นหนังได้ตัดขาดเนื้อหาออกจากหนังสือโดยสิ้นเชิง ว่ากันจริงๆแล้ว ... มันน่าจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น The Secret Life Of Ben Stiller มากกว่าด้วยซ้ำ

เพราะอะไร .. มาดูเลย






THE SECRET

ความลับของมิตตี้ (ของเจมส์ เธอเบอร์ คนแต่งฉบับหนังสือ) คือ เขามัก "หลุดโลก" เข้าสู่โลกในจินตนาการของตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่มันค่อนข้างต่างจากในฉบับภาพยนตร์ในปี 2013

เพราะจริงๆแล้วไอ้อาการ "หลุดโลก" นั่นก็ไม่ใช่ความลับเสียทีเดียว ในหนัง The Secret Life Of Walter Mitty ของเบน สติลเลอร์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่า "ความลับ" ของตัวละครสักเ่ท่าไรนัก สิ่งที่โดดเด่นจริงๆของหนังนั้นเป็นประเด็นที่ถือว่าซีเรียสและธรรมดาอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว

มันไม่ใช่การหลุดโลก
มันไม่ใช่หนังที่พูดเรื่องการออกไปเปิดโลกใหม่
หรือ การออกไปผจญโลกกว้างเพิ่มความกล้าให้ตัวเองอะไรแบบนั้น
(แม้หนังพยายามจะเล่าแบบนั้นก็ตาม)
แก่นสำคัญจริงๆของเรื่องราวมันคือ

"การทำงาน" ต่างหาก

มิตตี้เป็นคนจริงจังกับงาน จนชีวิตนอกเหนือจากนั้นจืดชืดและไร้เรื่องตื่นเต้น เมื่อเขาดันไปแอบปิ๊งพนักงานใหม่ จนต้องแอบไปเข้าร่วมเว็ปไซต์หาคู่เพื่ออยากคุยกับเธอ สุดท้ายแล้ว ปัญหาของมิตตี้ เป็นเรื่องที่ฟังดูงี่เง่าหน่อยๆคือ "เขาไม่ได้กรอกเรื่องงานอดิเรกลงในโปรไฟล์ของตัวเอง" มิตตี้ให้เหตุผลว่า เพราะเขาไม่มีอะไรให้กรอก

คือเป็นคนธรรมดา ทำงานอย่างเดียว ไม่มีงานอดิเรกอื่น
พูดง่ายๆคือ น่าเบื่อสุดๆนั่นแหละ




จนกระทั่งที่ำทำงานของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการควบรวมกิจการและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ทำให้การทำงานแบบที่เคยเป็นอาจต้องเปลี่ยนไปด้วย แล้วก็มิตตี้ก็ "งานเข้า" เมื่อเขาดันทำฟิล์มภาพถ่ายจากช่างภาพสุดติสท์ผู้ติดต่อยากหาย ซึ่งภาพนั้นสำคัญสุดๆถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายอาชีพของมิตตี้เลยทีเดียว เนื่องจากเป็นภาพที่จะถูกนำมาขึ้นปกของนิตยสารเล่มสุดท้ายของบริษัท ก่อนบริษัทจะปรับไปเป็นรูปแบบดิจิตอลทั้งหมด

มิตตี้จึงเริ่มต้น "ตามหา" ตัวช่างภาพสุดติสท์ที่ "อาจจะ" ยังมีฟิล์มภาพสำคัญนั้นอยู่กับตัว การเดินทางของมิตตี้ ทำให้เขาได้ค้นพบอะไรมากมาย เป้าหมายของมิตตี้ ยังหนีไม่พ้นเรื่องงาน แต่เพราะ "ออกไปทำงาน" นั่นเองที่ทำให้มิตตี้ได้ค้นพบ "บางส่วนที่หายไป" ของตัวเอง เขาไม่ได้ออกไปตามหาอะไรใหม่ แค่ออกไปค้นพบ "ของที่เคยทำหาย" ไปก็เ่ท่านั้น

นั่นคือ ชีวิตอันโลดโผนของตัวเองในวัยเด็ก ..

ใครๆก็เคยมีชีวิตแบบนั้น แต่เมื่อทุกคนเติบโตขึ้น การมีหน้าที่การงานรุมเร้า ทำให้เราอาจหลงลืมเรื่องสนุกๆและจินตนาการถึงเรื่องความตื่นเต้นเหล่านี้ไป และเป็น "งาน" ของมิตตี้นี่เอง ที่บังคับให้เขาออกไป "เก็บ" มันกลับมาอีกครั้ง

นั่นแหละคือ "ความลับ" ของวอลเตอร์ มิตตี้ (ฉบับเบน สติลเลอร์)





LIFE

นิตยสาร LIFE เป็นนิตยสารที่มีอายุยาวนานเกือบ 100 ปี ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1883 เริ่มแรกนั้นมันเป็นนิตยสารแนว เรื่องเล่าขำขัน คอลัมน์งานอดิเรก และบทความปกิณกะทั่วไป จนกระทั่งมันถูก เจ้าของนิตยสาร TIME ซื้อกิจการไปในปี 1936 LIFE จึงกลายมาเป็นนิตยสารเชิงข่าวและสารคดีเล่มสำคัญแห่งยุค...

บทภาพยนตร์ร่างแรกของ The Secret Life Of Walter Mitty นั้นเป็นฝีมือของ Steven Conrad ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านการเขียนบทภาพยนตร์แนว "ชีวิตชายวัยกลางคน" ซะเหลือเกิน ผลงานที่ผ่านมาของเขาก็อย่างเช่น The Pursuit of Happyness, The Weather Man, Wrestling Ernest Hemingway, The Promotion ฯลฯ

ครั้งแรกตอนที่ มีข่าวว่าเบน สติลเลอร์ จะมารับบทเป็นมิตตี้นั้น ไม่มีใครคิดว่า ตอนประชุม เขาดันขอควบหน้าที่ผู้กำกับด้วยซะงั้น ทีแรกสตูดิโอ 20th Century Fox มึนตึ้บเล็กน้อย เพราะไม่บ่อยนักที่นักแสดงนำจะมาขอควบบทผู้กำกับด้วย

และที่สำคัญ เบน นายจะไหวเร้อะ ..?

สุดท้าย เบนก็ทำให้สตูดิโอเชื่อใจ เขาได้รับหน้าที่กำัักับ พร้อมทั้ง รับบทนักแสดงนำด้วย สตีฟบอกว่า ตอนที่เขาส่งบทร่างแรกให้เบนดู บทถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยตัวหนังสือโน๊ตลงรายละเอียดเต็มพรืด ในส่วนที่ต้องเพิ่มเติมและแก้ไข ..

เขาเป็นคน "เยอะ" นะ เบนน่ะ ...



และการที่หนังพูดถึง การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิตอล ของสิ่งพิมพ์ และยังเลือกเอาไทม์ไลน์ของนิตยสาร LIFE มามันทำให้หนังช่างเหมาะเจาะลงตัวกับการเล่าเรื่อง "ชีวิต" เหลือเกิน และนั่นขึ้นอยู่กับว่า เรานิยามคำว่า "ชีวิต" ไว้แบบไหน

การออกไปผจญโลกกว้าง หรือ การนั่งทำงานในห้องสี่เหลี่ยม?
อย่างไหนคือ ชีวิตที่แท้จริงกันแน่ ...

นั่นคือคำถามที่หนังโปรยไว้จากใน "ตัวอย่างภาพยนตร์" และ "เรื่องย่อ"
แต่คำตอบจริงๆ มันอยู่ในหนัง ซึ่ง .. มันอาจไม่ใช่คำตอบแบบที่เราเคยคิดเลยก็ได้

"ชีวิต" มันไม่แน่นอนอยู่แ้ล้วนี่นะ ..






OF BEN STILLER

เบนบอกว่า สิ่งที่เขาอยากเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไ่ม่ใช่นักแสดง แต่เป็น "ผู้กำกับ" เบนเกิดในครอบครัวนักแสดง พ่อและแม่ของเขาต่างเป็นนักแสดงตลกชื่อดังทั้งคู่ เบนถูกคาดหวังให้เติบโตมาเป็นนักแสดงชื่อดังแบบพ่อแม่ แต่ ณ ตอนนั้นเขาก็บอกกับตัวเองและใครๆเสมอ "ผมจะไม่เป็นแบบใคร ผมมีเส้นทางของตัวเอง"

ถึงอย่างนั้น เบนก็เริ่มต้นด้วยการแสดง และแน่นอน เขาโด่งดังอย่างมากกับการเป็นดาราตลก จนพาตัวเองขึ้นมาสู่ดาราตลกแถวหน้าของวงการ ... ตอนอายุย่างเข้า 40 นั่นเอง เบนถึงได้ "สานฝัน" ในวัยเด็กของตัวเอง ด้วยการเป็น "ผู้กำกับ"

"อย่างที่บอกไปตั้งแต่ทีแรก ผมอยากเป็นผู้กำกับมาตลอด ตอนเป็นนักแสดงมันก็จะมีขอบข่ายการทำงานประมาณนึง แต่เหนืออื่นใด คุณไม่มีทางหลุดพ้นจาก 'บทบาท' ได้เลย คุณต้องรับบทเป็นคนอื่นตลอดเวลา เมื่อถึงจุดนึง ผมถึงรู้ึสึก ผมควรได้ทำตามความฝันสักที การเป็นผู้กำกับมันเหนืออกมา ... เพราะคุณคือผู้ควบคุม มันคือการทำงานที่ไร้ขีดจำกัด ... นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเป็นมาตลอด"

เมื่อเขามาทำงานด้านการกำกับ เบนก็มักเลือกนักแสดงจาก "กลุ่มเพื่อน" ก่อนเสมอ อย่างหนัง Tropic Thunder ที่เป็นการรวมก๊วนเพื่อนซี้ของเขาไว้ทั้งหมด ... แม้แต่หนังเรื่องล่าสุดอย่าง The Secret Life Of Walter Mitty ก็ตาม

เพื่อนคนนั้นคือ ฌอน เพนน์




"บางคนชอบบอกผมว่า 'เฮ้ คุณเหมาะกับบทนั้นจริงๆ นั่นดูเป็นตัวคุณชะมัด' ผมอยากบอกพวกเขาเลยว่า พวกเขาคิดผิด เพราะ 'ผมไม่เคยเป็นคนอื่น' ... นั่นคือสิ่งที่อยากให้ทำความเข้าใจ" ฌอน เพนให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทล่าสุดที่เขารับบเป็น ช่างภาพมือฉมังผู้ติสท์เหลือแสน ยึดมั่นในความคลาสสิคของการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มอย่างสุดจิตสุดจิต ฌอน กับ เบน มีนิสัยและแนวคิดที่คล้ายๆกัน

พวกเขาเป็นนักแสดงก็จริง แต่ไม่ชอบให้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือบทบาทที่ตัวเองได้รับ
พยายามบอกว่า "คนแบบ(พวก)เขา มีแค่ 1 เดียว" เท่านั้น

แม้แต่คนที่มารับบทเป็นน้องสาวของมิตตี้ อย่าง แคทธรีน ฮานน์ และ อดัม สก็อต ที่มารับบทเป็น "ไอ้หนวด" คนปรับโครงสร้างใหม่ของบริษั ก็เกิดจากการที่ เบน เป็น "แฟนหนัง" ของทั้งคู่ (อดัม สก็อตและแคทธรีน ฮานน์ เคยเล่นหนังด้วยกันใน Step Brothers (2009)

หนังเรื่องล่าสุดของเบน อย่าง "มิตตี้" คือการสานฝันและำตามจินตนาการในฐานะผู้กำกับของเขา มันมากเสียจนบางคนมองว่า "นี่มันไม่เคารพบทประพันธ์เอาเสียเลย" เพราะมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และแทบไม่เหลือแก่นใดๆไว้เลย มันน่าจะถูกเปลี่ยนชื่อไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ..




เบน เป็นคนนิวยอร์ค ... กองถ่ายภาพยนตร์หลายๆเรื่อง เมื่อต้องมีการเซตฉากในเมือง .. นิวยอร์คจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ด้วยเพราะ ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และ การจัดการที่ยากลำบาก รวมทั้งความวุ่นวาย .. แต่เบนค่อนข้างเอาแต่ใจ ... เมื่อเขาจะทำหนังเกี่ยวกับชีวิตของชายคนนึงแบบ มิตตี้ เบนคิดว่า มันสมควรจะเป็น นิวยอร์ค อย่างยิ่ง

เบนเป็นนิวยอร์คเกอร์เต็มตัว เขารู้และเข้าใจความหลากหลายและความมีชีวิตชีวาของนิวยอร์ค และมันเหมาะสมที่สุดกับเรื่องราวใน มิตตี้

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เมื่อเป็น นิวยอร์ค เบนเลยเลือก เดวิด สเวย์น ให้มาดูแลเรื่อง Art Direction ในหนัง (สเวย์นเคยทำอาร์ตไดฯ ของ Munich,Spider man 2, Man On Ledge หนังหลายเรื่องที่มีโลเกชั่นในนิวยอร์ค) เพราะฉะนั้น 'Mitty' เลยมีความเข้มข้นตามบรรยากาศของชาว "นิวยอร์คเกอร์" อยู่สูงมาก ...

ในกองถ่ายมิตตี้ ทีมงานต่างยกนิ้วให้กับการทำงานของเบน เขาบ้าคลั่งมาก

"เมื่อ เป็นนักแสดง เขาก็จะเป็นอีกคนนึง เมื่อมาำกำกับ เขาก็จะกลายเป็นอีกคน หลายครั้งนั่นนำให้พวกเราลำบาก เพราะผู้กำกับ ไม่พอใจกับการแสดงของตัวเองสักที! แต่นั่นถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสุดๆ เขาจัดการกับหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก" หนึ่งในทีมงานพูดถึงเบน




The Secret Life Of Walter Mitty จึงอาจไม่ใช่หนังที่พูดถึงการออกไปใช้ชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นหนังที่กำลังจะบอกว่า ข้างทางเต็มไปด้วยน่าสนใจก็จริง แต่บางครั้งปลายทางก็ไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป (คนมักพูดว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่ข้างทาง มากกว่าปลายทาง) แม้มิตตี้จะออกไปผจญโลก ทำเรื่องน่าตื่นเต้นเหลือคณาแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมายังโลกแห่งความจริง เพื่อใช้ชีวิต และอยู่กับการทำงานของตัวเองต่อไป

ชีวิตคือการดิ้นรน บนโลกของความเป็นจริง
และสุดท้ายคนที่ำำทำงานอย่างตั้งใจ จะได้รับการตอบแทนในที่สุด
ต่อให้มันจะใช้เวลานานและมีอุปสรรคมากมายก็ตามที





นี่คือหนังจากคนบ้างาน ผู้มีความฝัน และ พยายามเดินตามความฝันของตัวเอง แม้จะอ้อมและเสียเวลาอยู่นาน แต่การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางของเขา ทำให้เขาพบได้พบว่า สุดท้ายการได้ทำตามความฝันของตัวเองจริงๆสักที มันทำให้เขามีความสุขมากแค่ไหน

ฟังดูคล้ายชีวิตของมิตตี้ แต่จริงๆแล้ว
นี่คือชีิวิต ของ Ben Stiller

...

The Secret Life Of Ben Stiller






CHASE THE FILM

สิ่งที่ชอบมากในมิตตี้คือ หากใครชอบหนังประเภทที่เล่นกับสัญญะทางภาพแล้ว คงได้เฝ้าสังเกตุตามจุดมุมเล็กๆต่างๆในหนังกันได้อย่างสนุกเลยทีเดียว ตั้งแต่การตามหาภาพฟิล์มเบอร์ 25 หากใครเป็นช่างภาพคงน่าจะพอเก็ทๆกับตัวเลขนี้ เพราะมันหมายถึงจำนวนเฟรมภาพที่ำทำให้ภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว ถ้าสังเกตุมากกว่านั้นอีกหน่อยจะพบว่า ชานชาลาที่มิตตี้ไปยืนรอรถไฟครั้งแรกก็คือ ชานชาลาที่ 125 เช่นเดียวกัน และอาจเรียกว่าความบังเอิญก็ได้ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่) คือตอนที่มิตตี้ไปนั่งดูฟิล์มที่หน้าน้ำพุนั้น ป้ายด้านหลังของที่แปะอยู่บนหน้าตึก LIFE เขียนคำว่า CHASE ตัวบะเริ้มแปะอยู่ ประกอบกับการเดินเข้ามาในเลนส์ขยายของ สาวที่เขาแอบปิ๊ง มันก็โป๊ะเชะ เหมาะเจาะลงตัวพอดี

ถึงเวลาที่เขาต้องออกไป CHASE THE FILM ได้แล้ว
(คล้ายๆกับ CHASE THE DREAM นั่นแหละ)

และมิตตี้ยังได้เล่นสนุกกับคนชอบหนังปริศนาแบบเราด้วยการเพิ่มสัญลักษณ์ การทำเควสต่างๆเข้ามาให้คนดูได้ลุ้นกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่การพยายามหา "เบาะแส" และการได้รับคำแนะนำเรื่องการแต่งนิยาย ปริศนาลึกลับ การคลาดกับอีกตัวละครไปเรื่อยๆ ทำให้ภารกิจ CHASE THE FILM ยังคงต้องดำเนินต่อไป ผ่านการค้นพบ ชิ้นส่วนของมิชชั่นต่างๆ ที่จะพาเขาไปจบเควสได้ในท้ายที่สุด ..

แต่เมื่อจบเควสได้ แล้วยังไงต่อล่ะ ..
นั่นหล่ะคือ ชีวิต ที่รออยู่ ...





นิยายโรแมนติคเรื่องนึงที่เราเคยอ่านเจอ มีบทสนทนาอันนึงที่เราชอบมาก

"ฉันเนี่ยนะเป็นคนไม่เคยผจญชีวิต? ฉันเคยพายเรือแคนนูรอบอ่าว เข้าไปในป่าอเมซอน คุยกับชาวเผ่ามาแล้ว"
"นั่นมันคือ การออกไปเที่ยว ผมไม่เรียกมันว่าผจญชีวิต การผจญชีวิตของจริงน่ะคือนี่ต่างหาก คือการทำงาน"

มันน่ะถูกเป๊ะเลย ..

นอกจากหนังจะชอบใส่สัญญะลงมาตลอดเรื่องแล้ว สิ่งที่ชวนให้เพลินสุดๆคืองานภาพ ที่องค์ประกอบภาพงดงามมาก ด้วยโลเกชั่นที่อลังการแปด แต่คุณจะไม่แปลกใจเมื่อได้เห็นชื่อของผู้กำกับภาพใน Mitty เขาคือ Stuart Dryburgh ผู้กำกับภาพคนดังจากหนังเรื่อง The Piano (1993) นั่นเอง




และอย่างที่บอกไปแ้ล้วด้านบนว่า นี่อาจไม่ใช่หนังที่กระตุ้นอยากให้คนออกไปใช้ชีวิต หรือ ออกไปผจญโลกจริงๆอะไรขนาดนั้น แม้ตัวละครจะท่องไปค่อนโลก แต่สุดท้ายเขาก็ยังต้องกลับเข้ามาู่สู่ที่ทางของตัวเองในที่สุด

การที่ช่างภาพอย่าง ฌอน โอคอนเนอร์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่เจ๋งสุดๆ เพราะเป็นช่างภาพที่ได้ออกไปผจญภัยทั่วโลก แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ฌอนเป็นคือคนที่ยึดมั่นกับงานของตัวเองและ เขามีคติในการทำงาน และทำทุกวิถีทางให้งานของตัวเองออกมาดีที่สุด

เช่นเดียวกับตัว มิตตี้เอง เขาทำงานอยู่ในส่วนที่มืดที่สุดของบริษัท คือ คนอัดล้างฟิล์มเนกาทีฟ นั่งมองฟิล์มนับแสนใบ ที่เป็นภาพถ่ายจากทั่วทุกมุมโลก โลกที่เขายังไม่ได้ออกไปสัมผัสมันเสียที และ เมื่อโอกาสอำนวย "ความทุ่มเทต่องาน" ของมิตตี้ได้พาให้เขาออกไปตามหาภาพถ่าย "เพื่อรักษางานของตัวเองไว้" นั่นทำให้เขาได้สัมผัสว่า จากที่เคยมองโลกผ่าน เลนส์ขยาย และ ผ่านฟิล์มในห้องอัดรูป โลกจริงๆมันกว้างใหญ่แค่ไหน



หนังเลยพยายามทำให้ การผจญภัยของมิตตี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เพื่อเล่นล้อกับ "โลกจากภาพถ่าย" และ "โลกจากสองตาจริงๆ" ให้ได้มากที่สุด

นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่หนังได้ลอกมาจากหนังสือเป๊ะๆคือการ "Blur The Line" หรือ การทำให้คนดูแยกไม่ออกว่า เรื่องไหนคือจินตนาการ เรื่องไหนคือความจริง .. เส้นแบ่งมันเลือนลางจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งมันได้ถูกถ่ายทอดให้เห็นชัดเจนในบางฉากด้วย นั่นคือฉากที่ มิตตี้พยายามจะกด WINK เขานั่งอยู่หน้าจอ และ ถอยหลังออกไปจนหลุดโฟกัสของกล้อง เพื่อตัดสินใจว่า "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" ดี ..

กล้าพอไหม..นั่นแหละ

เมื่อมิตตี้หลุดโฟกัส มันก็ปรากฏให้เห็นเป็นภาพเบลอๆ นั่นหมายถึง ความไม่แน่ใจ ลังเล ประหม่า ชั่งใจ และเมื่อเข้าเดินกลับมาที่หน้าจออีกครั้ง มันก็อยู่ในระยะโฟกัสพอดี ซึ่งก็แปลว่า ทุกอย่างมันชัดเจน และเขาตัดสินใจแล้ว



ชีวิตและการตัดสินใจของคนมันก็เหมือนเวลาเราจะถ่ายรูป
มันต้องปรับโฟกัสกันสักนิด ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ ...จริงไหม?

เพราะฉะนั้นแล้ว The Secret Life Of Walter Mitty จึงพยายามให้ความสำคัญกับ "การทำงาน" ของทุกคน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะตัวเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ความเคารพและเชื่อใจคือสิ่งสำคัญในที่ทำงาน ซึ่งนั่นก็รวมถึงการใช้ชีวิตด้วย


แม้แต่คนหาปลาที่กลางทะเล ยังต้องยอมพึ่งคนขับฮ.ที่เมาหยำเป แต่ก็ยังอุตสาห์เอาของมาส่งให้ได้ตามหน้าที่
แม้แต่ช่างภาพที่เก่งที่สุดในโลก ถ่ายภาพมาได้สวยงามและลำบากแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้เห็นภาพของเขาหาก ไม่มีคนอัดฟิล์มล้างภาพให้

หนังพยายามบอกว่า ในการทำงาน ทุกคนต่างต้องพึ่งพากัน
ไม่มีใครทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว


และเมื่อคุณทำงานได้ดีคุณจะได้รับสิ่งตอบแทน
ไม่ว่านั่นจะเป็นแค่ค่าิทิปเล็กๆน้อยๆ การจากช่วยขนย้ายเปียโน

หรือจะยิ่งใหญ่ขนาดที่ได้ลงเป็นปกบนหน้านิตยสารเล่มสำคัญก็ตามที
คนที่ตั้งใจทำงาน พวกเขาจะได้รับสิ่งตอบแทนเสมอ

นี่คือหนังจากคนบ้างานอย่าง เบน สติลเลอร์ นั่นเอง  ...






บทสัมภาษณ์บางส่วนจาก ::

- http://variety.com/2013/film/news/ben-stiller-on-hollywoods-long-journey-with-the-secret-life-of-walter-mitty-1200911759/
- http://www.firstshowing.net/2013/interview-ben-stiller-on-his-directing-choices-making-walter-mitty/
- http://en.wikipedia.org/wiki/Life_%28magazine%29#cite_note-29
- http://en.wikipedia.org/wiki/The_Secret_Life_of_Walter_Mitty
< >

โจเซฟ เป็นเพลย์บอยผู้เสพย์ติดหนังโป๊ / เจมส์ เป็นผู้กำกับที่อยากทำหนังรักร่วมเพศ





จากนักแสดงเด็กตาหยีผู้เป็นที่รัก สู่เก้าอี้ผู้กำกับ หนังรักติดเรต เป็นครั้งแรก

ปีที่แล้ว โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ พา Don Jon : Adddiction หนังที่ตัวเอง ลงทุน เขียนบท/กำกับ และ แสดงเอง เรื่องแรกออกตะลุยฉายตามงานเทศกาลภาพยนตร์แบบเก็บเรียบ โดยเป้าหมายแรกของโจคงหนีไม่พ้นการสร้างฐานคนดู และการทดลองฉายภาพยนตร์แนว โรแมนติค-ดราม่าของตัวเองก่อน ซึ่งการชิมลางฉายในงานเทศกาล ที่ทุกคนมาเพื่อดูหนังทางเลือก และต้อนรับหนังทุกแนวอยู่แล้ว ถือเป็นทางเลือกที่ผู้กำกับหน้าใหม่หลายคนเลือก ซึ่งส่วนใหญ่ มันก็ประสบความสำเร็จดีเสียด้วย

เดือนมกราคม มีงานเทศกาลหนังสำคัญ ที่หลายคนเรียกว่าเป็นใบเบิกทางไปสู่เวทีอื่นๆ (และอาจวัดกระแสในระดับเวทีใหญ่ได้เลย) นั่นคือ Sundance Film Festiva

โจเองก็พา Don Jon ไปฉายที่ Sundance เป็นที่แรก ไปที่เบอร์ลินในเดือนกุมภาพันธ์ พอมีนาคมก็พา Don Jon ไปเทศกาลศิลปะวัยรุ่นอย่าง SXSW อีก (South by Southwest Film Festival) คนแบบโจ นอกจากที่เขาจะเดินพาเหรดบนพรมแดงเป็นว่าเล่นแล้ว เวทีที่น่าจะเหมาะกับเขาที่สุดน่าจะเป็น SXSW นี่แหละ โจเอา Don Jon ไปฉาย พร้อมกับ ปาฐกถาเร้าใจ มีเสน่ห์ชวนหลงใหลของเขา แบบที่ เชื่อว่า หลายคนรักหนังของเขาจากการฟังโจพูด มากกว่าการได้ดูหนังของเขาเสียอีก



โจมางานนี้แทบทุกปี แม้จะไม่มีหนังมาฉาย เพราะเทศกาลศิลปะที่เท็กซัสงานนี้ จะมีความเป็นวัยรุ่นและมีแนวทางเฉพาะกว่าเทศกาลหนังอื่นๆ เพราะ การฉายหนังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น ไม่ใช่เวทีหลัก เพราะนี่คือ เทศกาลที่รวมการแสดงหลากหลาย ทั้งดนตรี หนัง งานศิลปะ และ วิทยาการสมัยใหม่ ฯลฯ ใครอยากเทสตลาดวัยรุ่น ให้เอาหนังมาฉายในงานนี้



หลัง SXSX Don Jon ก็ตามเก็บเวทีใหญ่เกือบครบทุกเวที กว่าจะได้ World Premiere ก็ปลายๆปี 2013 นั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่า เขาเก็บสะสมแฟนหนังและกระแสตอบรับมาแล้วอย่างดีเยี่ยม เมื่อหนังได้ฉายจริงๆ ผลตอบรับก็ถือว่าดีเกินไป สำหรับหนังทุนต่ำ สายเทศกาล แต่อย่าลืมว่า แม้หน้าหนังจะดูเป็นหนังเทศกาล แต่ก็รวมแต่ดาราพรีเมียมไว้ทั้งนั้น

ซึ่งตัวโจเองก็ไม่ปฏิเสธว่า ที่หนังเข้ามาได้ไกลขนาดนี้ เพราะความโชคดีของตัวเอง ที่พึ่งผ่านงานใหญ่อย่าง The Dark Knight Rises มา และสามารถหว่านล้อมให้ดาราดังๆมาเล่นหนังตัวเองได้ แม้ไม่ได้ค่าตัวในเรตปกติ ซึ่งเขายอมรับว่า หนังที่มี โจ-กอร์ดอน เป็นพระเอก สกาเล็ต โจแฮนสันเป็นนางเอก และยังมี จูลีแอน มัวร์ ช่วย Don Jon ไว้ได้เยอะเลยทีเดียว

นั่นคือเส้นทางของ โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ ครั้งแรกกับการทำหนังขนาดยาวเพื่อฉายจริง



ซึ่งทุกคนอาจลืมไปว่า ... ในเดือนเดียวกัน ปีเดียวกันกับที่ Don Jon ได้เข้าฉายตามงานเทศกาล พร้อมกับหน้าหล่อๆของ โจ-กอร์ดอน ... เจมส์ ฟรานส์โก ก็เดินสายพาหนังทดลอง (สารคดีกึ่งฟิคชั่น) "การถ่ายหนังโป๊เกย์(ซาดิสม์)" ของเขาอยู่เช่นกัน เพียงแต่ หนังเกย์ของ เจมส์ มันไม่มี นางเอกสุดเซ็ก และ นักแสดงหญิงมากฝีมืออยู่ด้วยแค่นั้นเอง ..

  
 ...




ฟุตเทจที่หายไป.. สู่หนัง(เกย์)อีกเรื่องจากฝีมือกำกับของ James Franco

อันที่จริง การเอาเจมส์กับโจมาเทียบกัน มันก็ไม่ยุติธรรมนัก .. เจมส์ ไม่ได้ทำหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก เขามีหนังยาวเรื่องแรกของตัวเองตอนอายุ 27 (ขณะที่โจพึ่งมาทำหนังยาวตอน 32) และยังคงผันตัวไปกำกับหนังอยู่เรื่อยๆ ขณะที่ยังคงรับงานแสดงอยู่ด้วยเช่นกัน แม้หนังของเจมส์ จะแทบถือเอาเครดิตมาคุยโม้ไม่ได้มากนัก  แต่ประสบการและชั้นเชิง ยังเหนือกว่าโจอยู่มากโข

ขณะที่โจ เริ่มต้นทำหนังโรแมนติคดราม่า เจมส์ก็กระโดดไปทำหนังเควียร์ ซะแล้ว
(Queer คือไรเดี๋ยวจะพยายามค่อยๆอธิบายอีกที)



มกราคม 2013 หนังขนาดยาวที่ เจมส์ กำกับเองเป็นเรื่องที่ 8 ในชีวิต อย่าง Interior. Leather Bar. ได้ร่วมฉายในงาน Sundance ด้วยเช่นกัน ต่อด้วยเบอร์ลิน ในเยอรมัน, อิฟตันบูล ในตุรกี, เออบัน นอแมดในไต้หวัน, ซีแอทเทิล ในอเมริกา,ชอง อลิเซ่ ในฝรั่งเศส และอีกหลายเทศกาลทั่วโลก ... แม้จะไม่เปรี้ยงปร้างแบบ Don Jon แต่ก็ทำให้แฟนหนังได้ผ่านหน้าผ่านตาไปพอสมควร ที่น่าเสียดายคือหนังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าไรนัก อาจเพราะความเป็นหนังกึ่งสารคดี และ ความเฉพาะกลุ่มของมันนี่เอง ...

เดือนมกรา เดือนเดียวกับที่เจมส์ พาหนังเรื่องแรกของตัวเองไปฉายใน Sundance เขาก็ได้แถลงในงาน Sundance นั่นแหละว่า ตนเองกำลังจะทำหนังเรื่องใหม่ เรื่อง "American Tabloid" หนังที่จะสร้างจากวรรณกรรมเรื่องดังในชื่อเดียวกันเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ 3 คนที่เป็นคนใกล้ชิด 3 คนสุดท้ายที่อยู่กับ JFK และเรื่องพันพันอื้อฉาวเกี่ยวกับวงการ FBI,CIA และ วงการมาเฟีย

ขณะ Interior. Leather Bar. กำลังเดินสาย เจมส์ กลับไปโผล่ที่ Cannes Film Festival ในเดือนพฤษภาคม พร้อมเปิดตัวหนังอีกเรื่องคือ As I Lay Dying และขณะที่ยังพาหนัง 2 เรื่องเดินสายตามงานประกวด เดือนสิงหาคม เขาก็เพิ่มหนังเข้าไปในลิสต์เดินสายอีกเรื่องคือ Child of God นี่ยังไม่นับว่าในปี 2013 เขามีหนังเรื่องอื่นที่เข้าโรงฉายอีก 6 เรื่องนะ




แต่เรื่องที่เราอยากจะพูดถึงจริงๆคือ หนังต้นปีของเขาอย่าง Interior. Leather Bar. นี่แหละ
Interior. Leather Bar. พึ่งได้วกกลับเข้ามาฉายในอเมริกาแบบจำกัดโรงเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2014 นี่เอง ..

ด้วยความที่หนังเกือบๆจะเป็นเชิงทดลอง นั่นคือ สารคดีกึ่งฟิคชั่น ไอเดียหนังเริ่มจากหนังเก่าของ Al pacino ในปี 1980 อย่าง Cruising อันว่าด้วยเรื่องของ การสืบสวนของนายตำรวจในคดีเกย์ถูกฆ่าตายด้วยการฆ่าแบบโหดร้ายทารุณ ซึ่งพัวพันกับคลับใต้ดินลึกลับที่เป็นคลับ S&M ตอนที่ Crusing ถ่ายทำเสร็จเป็นครั้งแรก หนังถูกแปะหัวด้วย Rate X แต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการเผยแพร่แล้ว หนัง X นั้นเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการเผยแพร่ สตูดิโอจึงตัดสินใจ หั่นฉากที่คาดว่าจะติดเรต X ออกทั้งหมด รวมเวลาทั้งสิ้นกว่า 40 นาที ทำให้หนังได้ Rate R มาในที่สุด

และ 40 นาทีที่หายไปที่ว่านั้น กลายมาเป็นหนัง Interior. Leather Bar. ของเจมส์ และ ทราวิส นั่นเอง



อ้อ ... ลืมบอกไปว่า หนังเรื่องนี้ เจมส์กำกับร่วมกับเพื่อนสนิท ทราวิส แมธธิว มือเขียนบทและผู้กำกับหนังสารคดี ผู้ซึ่งมีคำบรรยายตัวเองว่า "ผู้กำักับและคนเขียนบทหนัง ผู้สนใจในเรื่องความรักของชาวรักร่วมเพศ และความสัมพันธ์ทางเพศอันลุ่มลึกของพวกเขา" ซึ่งนักวิจารณ์บางคนก็เรียก ทราวิส ว่าเป็น มือเขียนบทและผู้กำกับสายเควียร์ ตอนที่เขาทำหนังรักเรื่อง I Want Your Love (และหนังสารคดีแนวชายรักชายอีกหลายเรื่อง) นั่นเอง

รากศัพท์ของการใช้คำว่า Queer อาจลึกลับและซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย เพราะอาจต้องยกเอา Queer Theory มาอธิบายกันเลยทีเดียว แต่ถ้าจะให้พูดให้ฟังเข้าใจง่ายและแพร่หลาย คงต้องบอกว่า Queer อาจหมายถึง หนังหรือพฤติกรรมที่อิงถึง การรักร่วมเพศ หรือ LGBT ซึ่ง ณ ปัจจุบันภาพยนตร์หลายเรื่องได้พยายามสอดแทรกแนวคิดนี้ลงไปในหนังมากมาย ต่อให้หนังเหล่านั้นจะไม่มีการพูดถึงรักร่วมเพศเลยก็ตาม (เช่น การแฝงคำพูดหรือแนวคิดสนับสนุนให้คนรักร่วมเพศออกมาแสดงตัวตน มากกว่าหลบซ่อน)



เจมส์บอกว่า "เขาเป็นแฟนตัวยงของ 50 Shades Of Gray" ตอนทำหนังเรื่องนี้ มันเลยเต็มไปด้วยเรื่องทำนองนั้น นั่นคือ S&M (ซาดิสม์ และ มาโซคิส คือ พวกชอบใช้ความรุนแรง และพวกที่ชอบถูกใช้ความรุนแรง) แต่นี่ไม่ใช่หนังที่ขายเรื่องราวหรือพลอตเรื่อง แต่มันเป็นหนังที่ขายประเด็น หนังดำเนินเรื่องกึ่งสารคดี มีการนั่งสัมภาษณ์ นั่งคุย เบื้องหลังการถ่ายทำหนัง เหตุผลหนึ่งที่เจมส์เลือก Cruising เป็นวัตถุดิบอาจเพราะ Cruising เป็นเหมือนหนังที่อาจพูหยิบยกประเด็น "รักร่วมเพศ" ออกมาพูดถึงในแง่ของ วัฒนธรรมสายรองของสังคม (คลับเกย์ใต้ดินลึกลับ ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยแก่คนนอก เนื่องจากในยุคนั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับ) เป็นเรื่องแรกๆและทำให้เกิดการฉุกคิดในระดับสังคมอยู่พอสมควร




แม้ .. Interior. Leather Bar. จะกระแสไม่ดีนักจากการเดินสายตามงานเทศกาล อาจด้วยเพราะตัวหนังเองก็คัดกรองผู้ชมส่วนหนึ่งอยู่แล้ว และยังพูดถึงประเด็นที่อาจจะยังไม่แพร่หลายในวงกว้างสำหรับคอหนังปกติทั่วไป และเหนืออื่นใด มันอาจดำเนินอยู่บนกฏง่ายๆ คือ "หนังมันไม่สนุก" ก็ได้ ขณะที่ Don Jon นั้นสร้างความประทับใจได้มากกว่า เลยถูกพูดถึงมากกว่า ทั้งที่เป็นหนังที่ออกมาในปัจจัยที่คล้ายคลึงกัน

"นักแสดงวัยหนุ่ม ผันตัวมาเป็นผู้กำกับ ทำหนังฉายงานเทศกาล พูดถึงความรักและฉากติดเรต"

โจ พูดถึง ความรักของ หญิง/ชาย ในอุดมคติและในความเป็นจริง
เจมส์ พูดถึง ความรักของ ชาย/ชาย ที่ถูกกดไว้ด้วยบรรทัดฐานทางสังคม

ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม แต่ Interior. Leather Bar. และ Don Jon ต่างก็เป็นก้าวสำคัญในอาชีพผู้กำกับ ของ 2 นักแสดงอย่าง James Fransco และ Josept Gordon-Levitt ในอนาคต พวกเขาอาจก้าวไปบนเวทีออสการ์ ในฐานะ "ผู้กำกับ" ก็ได้ ... ใครจะรู้ ...










< >

[Borussia Dortmund] การฉีกสัญญาของเด็กอคาเดมี่ และ การย้ายแบบฟรีๆของดาวซัลโว

ข่าวใหญ่เมื่อวานนี้คงหนีไม่พ้น ข่าวของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ที่มีภาพการเข้าตรวจร่างกายกับทีมแพทย์ของบาร์เยิร์นมิวนิค ออกมาให้เห็นจนกระทั่ง ทวิตเตอร์ของสโมสรบาร์เยิร์นในภาษาอังกฤษได้ ทวีตยืนยันว่า "เลวานฯมาแล้ว" จริงๆ แบบ Free Transfer พร้อมเซนต์สัญญา 5 ปี

ซึ่งสัญญาฉบับนี้จะผลเริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม หรือนั่นก็คือ สิ้นสุดฤดูกาล 2013-14 กับ โบรุซเซีย ดอร์ทมุนด์แล้วนั่นเอง ต่อมาเว็ปไซต์สโมสร บาร์เยิร์น มิวนิค ก็ออกมาแถลงยืนยันอีกครั้งว่า เลวานฯ ได้เซ็นสัญญากับทีมแล้วจริงๆ โดยไม่เปิดเผยรายละเอียดอื่นอีก นอกจากระยะเวลาของสัญญา จากคำสัมภาษณ์ของ Karl-Heinz Rummenigge ซีอีโอของทีม

"เราดีใจที่จัดการดีลนี้ได้เสียที เลวานฯเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ยอดเยี่ยมของโลก เขาจะช่วยทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น และ จะเป็นแรงกระตุ้นใหม่ๆของทีม เราดีใจมากที่วันนี้เราเซ็นต์สัญญากันเรียบร้อยแล้วทั้ง 2 ฝ่าย สัญญานี้จะมีระยะเวลายาวนาน 5 ปี ..."



การฉีกสัญญาของเด็กอคาเดมี่ (Release Clause)

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปีที่แล้ว มาริโอ เกิธเซ มีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับการย้ายซบ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเมืองบาวาเลี่ยน "บาร์เยิร์น มิวนิค" ทั้งที่ตอนนั้น การประกบคู่ "ก็อธ-รอยซ์" ในดอร์ทมุนด์ กำลังไปได้สวย ฟอร์มของทีมกำลังยอดเยี่ยม พวกเขามีลุ้นทะลุไปถึงรอบชิงชนะเิลิศใน UCLเสียด้วยซ้ำ

หากยังจำกันได้ ตอนต่อสัญญาครั้งล่าสุดกับดอร์ทมุนต์ในฤดูกาล 2011-12 ตอนนั้นก็มีข่าวลือไม่น้อยว่า เกิธเซจะย้ายไปแมนฯซิตี้ ไม่ก็อาร์เซนอล แต่เกิธเซยังยืนยันว่า

"ทุกคนรู้ดีว่าผมรู้สึกสะดวกสบายแค่ไหนที่ดอร์ทมุนด์ ผมยังคงอยากเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่นี่"

เกิธเซเป็นเด็กอคาเดมี่ของดอร์ทมุนด์ เติบโตมาพร้อมกับเทคนิคการเล่นที่อคาเดมี่สั่งสอน ทั้งการเล่นที่หลากหลาย และการปรับตำแหน่งการเล่นได้ตลอดเวลา เขาเคยยกความดีความชอบจากฟอร์มการเล่นที่ดีของตัวเองให้กับระบบอคาเดมี่ของทีม ที่สั่งสอนเขามาได้เป็นอย่างดี



และ 1 ปีต่อมา เกิธเซก็ย้ายทีมด้วยค่าตัวที่ทุบสถิติการย้ายที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลิกาในรอบหลาย 10 ปี

ดอร์ทมุนด์ ออกมายืนยันข่าวลือ "เกิธเซไปจริงๆ" แต่เขาจะไปหลังจบฤดูกาล 2012-13 โดยในช่วงนั้น ดอร์ทมุนด์กำลังกรำศึกหนักในเวที ยุโรป พวกเขากำลังมีแข่งรอบ 4 ทีมสุดท้าย และกำลังทะลุผ่านเข้าไปถึงรอบชิง ข่าวการประกาศย้ายทีมของเกิธเซเกิดขึ้นตอนที่ดอร์ทมุนด์กำลังมีแข่งเลก 2 กับ รีล มาดริด แม้วันนั้น ดอร์ทมุนด์จะชนะ และผ่านเข้าสู่รอบชิงแชมป์ ยูฟา แชมป์เปียนลีกส์ได้ แต่พวกเขากลับต้องเสีย นักเตะคนดังของทีมไปให้ทีมอริอย่าง บาร์เยิร์นแทน



"แสวงหาเงินตรา เราได้เห็นหัวใจของคุณแล้ว ไสหัวไปเกิทเซ"
คือป้ายผ้าข้อความของแฟนบอลดอร์ทมุนด์นำมาโชว์ในสนาม

เพราะการย้ายทีมของเกิธเซเกิดจากการ Release Cluase หรือ การฉีกสัญญา ดอร์ทมุนด์เลยแทบต้านทานเรื่องนี้ไม่ได้ ซีอีโอของทีมอย่าง  Hans-Joachim Watzke เลยต้องออกแถลงการณ์ว่า

"ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เอเยนต์ของเกิธเซเข้ามาขอพูดคุยพร้อมกับบอกว่า เกิธเซอยากจะขอใช้กฏฉีกสัญญาและจะย้ายไปบาร์เยิร์นฯหลังจบฤดูกาลนี้ แม้เราจะผิดหวังมากแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่า พวกเขาสามารถใช้กฏนี้ได้ ตามเงื่อนไขที่ร่างไว้ในสัญญาจริงๆ.."

เหตุผลของเกิธเซนั้นมีเพียงแค่ "ผมอยากร่วมงานกับ เป็ป กวาดิโอล่า"



ซึ่งต่อมาในนัดชิงที่ เวมบลีย์ แม้เกิธเซจะเดินทางมาพร้อมกับทีม แต่เขาก็ไม่ได้ลงแข่งรอบชิงชนะเิิลิศที่ ดอร์ทมุนต์สามารถฝ่าฝันมาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ครั้งล่าสุดที่พวกเขามาถึงรอบชิงชนะเิลิศนี้คือในปี 1997 และครั้งนั้น พวกเขากลายเป็นแชมป์

การแข่งขันในครั้งนี้จึงสำคัญมาก ทุกคนอยากคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ ใบที่ 2 ให้กับสโมสรใจจะขาด

จบเกมนัดนั้น บาร์เยิร์นฯเป็นผู้กำชัย ดอร์ทมุนด์พ่ายแพ้ แม้รูปเกมจะทัดเทียมกันจนพูดยากว่าใครจะได้แชมป์ จนกระทั่งลูกยิงปิดกล่องของ อาเยน ร็อบเบน นั่นเองที่ทำลายความฝันของดอร์ทมุนด์ลง

ฤดูกาล 2012-13 เป็นฤดูกาลที่ดอร์ทมุนต์ ...

... พลาดแชมป์ยูฟาแชมเปี้ยนลีกส์ให้บาร์เยิร์นฯ
... เสียแชมป์ลีกให้บาร์เยิร์นฯ
และ ยังเสียนักเตะลูกหม้อ จากอคาเดมี่ให้ บาร์เยิร์นฯ ในท้ายที่สุด


การย้ายฟรี ของดาวซัลโว (Free Transfer)

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ คือ นักเตะรายต่อมาที่มีข่าวลือหนาหู เลวานประกาศตัวชัดเจนว่า เขาอยากย้ายไปอยู่กับบาร์เยิร์น มิวนิค มานานมาก

ในเดือนกันยายนปี 2013 เลวานออกมาประกาศว่า "มกรานี้เขาจะเซ็นต์สัญญากับบาร์เยิร์น" การประกาศนั้นนำมาซึ่งเสียงก่นด่า และ ข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย บ้างก็ว่า หากทีมยังทำผลงานได้ดี เลวานอาจเปลี่ยนใจ บ้างก็ขอไว้ ถ้าจะย้ายไป ขอเป็นทีมอื่นที่ไม่ใช่ บาร์เยิร์นได้ไหม?

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ คือ นักเตะที่ดอร์ทมุนด์ซื้อมาในฤดูกาล 2011-12 ขณะนั้น ดอร์มุนด์กำลังไปได้สวยกับกองหน้าตัวฉกาจอย่าง ลูคัส บาริออส ... แต่เมื่อลูคัสเจ็บ ทีมเลยดึงเลวานฯขึ้นมาเล่นแทนในตำแหน่งของเขา และการเล่นแทนครั้งนั้น ได้กลายเป็นตำแหน่งถาวรของ เลวานฯไปในที่สุึด (ลูคัสเลยย้ายหนีไป กวางโจ เอเวอแกรนด์)



ปีแรกที่เขามาแทนที่บาริออส เลวานฯติดอันดับ 3 ของผู้ที่ทำประตูมากที่สุดของบุนเดสลิกา ด้วยการกดไปถึง 22 ประตูและยังพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาอีกด้วย ปีต่อมา แม้ทีมจะพลาดคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2 แต่เลวานฯก็ขึ้นแท่น จอมถล่มประตูไปแล้วในที่สุด ด้วยการกดไปถึง 24 ประตู รั้งอันดับ 2 ดาวซัลโวของฤดูกาล เป็นรอง สเตฟาน คีสลิงเพียง 1 ประตูเท่านั้น

แม้จะประกาศล่วงหน้ามานาน แต่หลังจากการประกาศนั้น เลวานฯยังคงทำตามหน้าที่ของตัวเอง ถึงจะประกาศอยากย้ายทีมไปแล้ว แต่เมื่อลงแข่งในชุดสีเหลือง เขายังถล่มประตูให้ดอร์ทมุนด์เหมือนเดิม หลังจากประกาศปลายเดือนกันยา จนถึงปัจจุบัน เลวานลงเล่นให้ดอร์ทมุนด์ 16 เกมจากทุกรายการ เขาทำประตูไปแล้วทั้งสิ้น 11 ประตู

ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ฤดูกาล 2013-14 เลวานฯลงเล่นให้ดอร์ทมุนต์รวมทุกรายการทั้งสิ้น 25 นัด ทำไปแล้ว 16 ประตู

จากการประกาศครั้งแรกในเดือนกันยายน 2013 จนถึง มกราคม 2014 ก็มาถึงเวลาวัดใจสำหรับแฟนๆ เสือเหลืองและเสือใต้สักที เลวานฯจะทำตามที่พูดจริงหรือไม่ แล้วเขาก็ทำตามที่พูดไว้ เซนต์สัญญากับบาร์เยิร์น 5 ปี ในเงื่อนไข "หมดสัญญา และ ย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว"




บางคนบอกว่า ทำไมเลวานฯถึงต้องทำถึงขนาดนี้?
ย้ายทั้งที ทำไมต้องบาร์เยิร์น แถมยังย้ายแบบฟรีๆ จะทำร้ายสโมสรไปถึงไหน?

ต้องบอกว่า ก่อนหน้านี้ บาร์เยิร์นฯเอง เคยยื่นข้อเสนอโดยตรงมายังดอร์ทมุนต์แล้ว ถึงการซื้อตัว ถ้าจำเป็นก็อาจด้วยเงื่อนไขฉีกสัญญา แต่หลังจากที่ดอร์ทมุนต์เสียเกิธเซไปแล้ว คงมีคนด่าว่า "บ้าไปแล้ว" แน่ๆหากยังยอมขายเลวานฯไปเสริมทัพให้อีก

ที่ดอร์ทมุนด์ทำ คือการเก็บเลวานไว้จนกว่าจะหมดฤดูกาลและพยายามหาทางให้เขาต่อสัญญา
ไม่ก็พยายามขายไปลีกอื่น นั่นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่สโมสรสามารถทำได้แล้ว

และสิ่งที่เลวานฯทำมีเพียงอย่างเดียว คือ ทำประตูให้ทีมปัจจุบัน และ รอคอย ...

เรื่องราวเบื้องหลังของเหตุการณ์อาจยุ่งเหยิงกว่าที่เราคิด แต่เมื่อตลาดฤดูหนาวเปิด แต่ดอร์ทมุนด์ยังไม่สามารถปิดดีลใดๆ เกี่ยวกับเลวานฯกับทีมอื่นๆได้ เลวานฯก็ชิงเซนต์สัญญาใหม่กับ บาร์เยิร์นฯทันที ตามคิวแบบที่เขาเองเคยประกาศไว้เมื่อ 5 เดือนก่อนเป๊ะ ...

แน่นอนว่าการเซนต์สัญญาของเลวานฯครั้งนี้ ต้องนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหลือคณาแน่นอน

"คราวก่อนก็เกิธเซ คราวนี้ก็เลวานฯ บาร์เยิร์นคุณจะโหดไปถึงไหน"
"ไอ้นักเตะทะเยอะยาน อยากอยู่ทีมใหญ่จนตัวสั่น เมิงไม่คิดจะพาทีมปัจจุบันยิ่งใหญ่เองมั่งหรือไง"
"ไอ้พวกเห็นแก่เงิน ไปอยู่ด้วยกันน่ะดีแล้ว"

ไม่ว่าเสียงก่นด่าจะมาจากใจจริง อารมณ์โมโห หรือ ไม่แคร์จริงๆว่านักเตะจะอยู่หรือไป แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญจริงๆคือ "สโมสร" ไม่ใช่นักเตะ



มีนักเตะก้าวเข้ามามากมาย และ จากไปมากมาย บ้างเก็บเกี่ยวเกียรติยศจากที่นี่ บ้างก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดเลวร้าย แล้วจากไปยิ่งใหญ่ยังที่อื่น ถูกจดจำในสีเสื้อของอีกทีม บางคนถูกหลงลืม บางคนถูกจดจำ ไม่ว่าอย่างไหนก็ตาม ...

อาชีพนักเตะเป็นอาชีพที่มีช่วงชีวิตความรุ่งโรจน์ไม่มากนัก เมื่อเริ่มทำงานสักตอนอายุ 20 คุณจะสามารถทำอาชีพนี้แบบแข็งขันไปได้อย่างมากก็ 20 ปี คุณก็จะไม่สามารถทำงานแบบที่คุณเคยทำได้อีก คนอื่นจะมาแทนคุณ ความอาวุโสไม่มีผลยั่งยืนบนสนาม คุณอาจมีความเก๋าเป็นจุดเด่น แต่คุณจะถูกวิ่งแซงอย่างง่ายดาย





เมื่อมีโอกาสคุณก็ต้องเลือก
อาชีพ ความชอบ เงิน เกียรติยศ ความสำเร็จ
ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร คนเลือกย่อมรู้ดีที่สุด

แต่มีความจริงข้อหนึ่งที่นักเตะไม่อาจปฏิเสธได้ ...

"เล่นฟุตบอลเพื่อชื่อบนหน้าอก แล้วคุณจะถูกจดจำในชื่อบนแผ่นหลัง"

นั่นคือสิ่งที่ควรถูกระลึกถึงไว้เสมอ ...


..................................................................................................................................

บทความที่เกี่ยวข้อง

ในวันที่เราต้องไกลห่าง : อนาคตหรือความภักดี จาก .. โรบิน ฟาน เพอซี ถึง มาริโอ้ เกิทเซ ..
http://pantip.com/topic/30523924

Drama Happen : ไม่มีปาฏิหารย์ที่เวมบลีย์
http://pantip.com/topic/30530633

ลิววี่ ผู้ฆ่ายักษ์ : โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กับ การล้มยักษ์อันน่าทึ่ง
http://pantip.com/topic/30446809

..................................................................................................................................

ตอนได้ยินข่าว แว้บแรกโกรธนะ คิดไปคิดมา ตรูจะโกรธทำไมน้อ ทำไมยังไม่ชินอีก แน่นอนว่า เกิธเซหรือเลวานฯไม่ใช่เคสสำคัญ หรือสดใหม่อะไรนัก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีเคสทำนองนี้เกิดขึ้นมาเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว ที่เขียนนี่เพราะมีความรู้สึกว่าต้องเขียนเท่านั้นเอง อาจจะคิดว่า นักเตะสมัยนี้มันไม่มีความเป็น Loyalty (ความจงรักภักดี) อยู่ในหัวเลย เล่นเพื่อความสำเร็จกันอย่างเดียว

ซึ่งแม้ความ Loyalty นั้นจะเป็นเรื่องดีมากแค่ไหน แต่เราเองก็ต้องยอมรับว่า โลกหมุนทุกวัน ค่านิยมและแนวคิดของผู้คนมันย่อมเปลี่ยนตามไปด้วย บางครั้งความเปลี่ยนแปลงมันอาจเลวร้าย และชวนให้เราอยากต่อต้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เดี๋ยวเราก็ชินไปเอง .. นั่นคือวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลง (ทำไมตรูเครียดขนาดนี้ 5555555555)

พอคนบอกว่า ย้ายได้ไม่ว่า แต่ทำไมต้องย้ายไปทีมคู่แข่ง ซึ่งเราึิคิดว่า เงื่อนไขนี้อาจจะใช้ไม่ได้เลย เพราะในเมื่อไม่ได้คำนึงเรื่อง Loyalty กันแต่แรกอยู่แล้ว ที่เป็นศัตรูกันคือ "ระดับทีม" ไม่ใช่ระดับ "นักเตะ" อย่าลืมว่า นักเตะบาร์เยิร์น และ ดอร์ทมุนด์ ต่างก็เป็นทีมชาติเยอรมันเหมือนกัน

Loyalty มันมาจาก เชื้อชาติ พื้นเพ นักเตะประเภท One Man One Club ส่วนใหญ่ มาจาก การปลูกฝังและการเป็นชาวเมืองของสโมสรนั้นๆ ใครได้รับโอกาสเช่นนั้น ก็โชคดีไป ขณะที่ใครไม่มีโอกาสได้เป็น One Man One Club เขาก็อาจสร้างการจดจำใหม่ๆให้กับตัวเอง และคนรุ่นหลังได้เช่นเดียวกัน

https://www.facebook.com/poprockonfilm
< >

Lone Survivor : จนกว่าความตายจะพรากจาก ...


คุณจำ Red Wing ได้มั้ยคะ?

'ยุทธการปีกแดง' ที่เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุึดของกองทัพสหรัฐในปี 2005
ไม่ว่า 'ยุทธการหอกของเนปจูน' จะยิ่งใหญ่แค่ไหนกับการปลิดชีพบินลาเดนได้สำเร็จ
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้ หากปราศจากความเสียสละของเพื่อนทหารคนอื่น
คนที่เสียชีวิตเพื่อภารกิจ เพื่อกองทัพ เพื่อประเทศชาติ

เนื่องจาก Red Wing เป็นเหตุการณ์ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่และสะเทือนอารมณ์อยู่พอสมควร
การจะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดทางภารกิจ หรือ รายละเอียดด้านบุคคลเพื่อป้องกันประเด็นอ่อนไหวต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต

Red Wing ไม่เหมือนภารกิจอื่นๆ ที่เคยถูกนำมาทำเป็นหนัง ทิศทางการนำเสนอของผู้กำกับ จึงอาจถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมและเพื่ออิงกับแนวทางของผู้กำกับเอง ทำให้ฉบับภาพยนตร์อาจตั้งอยู่บน 2 แนวทางคือ "ดราม่าสุดใจ" หรือ "แอ็คชั่นห้าวหาญ"

นั่นถือเป็นความท้าทายของ Peter Berg ผู้กำกับ ที่คิดหยิบภารกิจนี้มาทำหนัง หลังจากที่หนังปฏิบัติการทางทหารเรื่องล่าสุดนั้น ยิ่งใหญ่ระดับเวทีออสการ์เลยทีเดียว (Zero Dark Thirty คือปฏิการหอกของเนปจูน)

Lone Survivor สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Macus Ruttrell ซีลเพียง 1 เดียวที่รอดชีวิตจาก 'ยุทธการปีกแดง' เพื่อกลับมาเล่าเรื่องราวอันแสนเศร้าสลดให้โลกรับรู้ หนังสือได้รับการขัดเกลาสำนวนจากนักประพันธ์และนักหนังสือพิมพ์ชื่อดัง Patrick Robinson




หลายครั้งที่ชื่อปฏิบัติการ หรือแม้แต่โค้ดเนมและรหัสปฏิบัติการของทหาร ดูตลกและขี้เล่นจนเราอดนึกขำไม่ได้ว่า "จะเอาฮากันไปถึงไหน" ซึ่งอาจเพราะ สิ่งที่พวกเขาทำอยู่มันยากลำบาก กดดัน และเคร่งเครียดเกินไป บางครั้งพวกเขาเลยพยายามหาความสุขเล็กๆน้อยๆจากการตั้งชื่อปฏิบัติการเหล่านี้

Red Wing มาจากการเสนอชื่อจากทหารในกองทัพ โดยพวกเขาได้เปิดให้มีการโหวตจาก 4 ชื่อซึ่งแต่ละหน่วยเลือกชื่อมาจากทีมกีฬาที่ตัวเองชอบ นั่นคือ New York Rangers, Chicago Blackhawks, New Jersey Devils และ Detroit Red Wings สุดท้ายชื่อของ Red Wing ถูกเลือก อาจเพราะมันมีความคล้องจองปฏิบัติการณ์ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพในปี 1956 ที่ชื่อ "Operation Redwing" เช่นเดียวกัน

Red Wing คือ ปฎิบัติการสังหาร Ahmad Shah ผู้นำระดับสูงกลุ่มทาลีบัน ซึ่งอยู่ในขอบข่ายการปฏิบัติงานของ SEAL TEAM 10 โดยปฏิบัติการแบ่งออกเป็น 5 เฟส คือ

เฟส 1 Shaping : ซีลทีมแรก สำรวจพื้นที่ ดูลาดเลา และ ยืนยันการมีตัวตนของเป้าหมายในพื้นที่
เฟส 2 Action on the Objective : ซีลทีมสอง เข้าโจมตี สังหารเป้าหมาย และ ผู้ร่วมกลุ่มคนอื่นๆ
เฟส 3 Outer Cordon : นาวิกโยธิน เข้าสำรวจพื้นที่พร้อมกับทหารอัฟกัน ที่เพื่อค้นหา ผู้ก่อการร้ายคนอื่นๆที่ยังหลงเหลือรอบบริเวณ
เฟส 4 Security and Stabilization : นาวิกโยธินพร้อมทหารอัฟกันเข้าเยียวยาประชาชนในพื้นที่
เฟส 5 Exfiltration : นาวิกโยธินจะอยู่ประจำการในพื้นที่อย่างน้อย 1 เดือนเพื่อตรวจสอบและป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายกลับมายังพื้นที่อีก แล้วจึงจะเป็นการเสร็จสิ้น ปฏิบัติการ

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เกิดขึ้นตอน เฟสที่ 1 เท่านั้น

..................................................................................................................................................

ส่วนนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญและรายละเอียดจากภาพยนตร์ Lone Survivor 
ใครไม่อยากถูกสปอล์ยข้ามไปได้เลยค่ะ



ผู้รอดชีวิตเพียง 1 เดียว

เราไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน เลยจะขอเขียนถึงแค่เนื้อหาจากในหนังแล้วกันนะคะ

สิ่งที่ทำให้เราน้ำตาไหลได้ตั้งแต่เริ่มคือการ ที่หนังเริ่มต้นด้วยการนำฟุตเทจการฝึก SEAL มาให้เราดู กฏระฆัง 3 ครั้ง หรือแม้แต่การให้เห็นสภาพว่าแต่ละคนที่กว่าจะกลายมาเป็น SEAL ได้ต้องผ่านการฝึกอะไรมาบ้าง ซึ่งหากใครเคยอ่านหรือศึกษาเกี่ยวกับการฝึกเหล่านี้มาก่อน และ ยิ่งรู้เรื่องราวของ Red Wing จะยิ่งรู้สึกว่า หนังมันเรียกน้ำตาได้ตั้งแต่เริ่มจริงๆ

และไอ้ส่วนเริ่มแรกของหนังนี่เองที่กระทบใจเราที่สุดหลังจากดูหนังจบแล้ว เพราะมันสะท้อนภาพความจริงเกี่ยวกับชีวิตของทหารในกองทัพหรือ SEAL ได้เป็นอย่างดี

พวกเขาเสี่ยงตายในการฝึก เพื่อที่จะไปเป็น SEAL
และเป็น SEAL เพื่อเสี่ยงตายในภารกิจที่ได้รับมอบหมายเพื่อประเทศ

ก่อนซีลออกปฏิบัติภารกิจทุกครั้ง ต้องมีการเขียนจดหมายถึงครอบครัวไว้ล่วงหน้า เผื่อในกรณีที่เขาไม่ได้กลับมา เพราะฉะนั้นทุกครั้ง ชีวิตของซีล ต้องดำเนินอยู่บนความเสี่ยงที่พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ

หนังเริ่มต้นในภารกิจต่อเนื่องของซีลกลุ่มนึงใน Base camp ในอัฟกานิสถาน พวกเขาถูกเรียกมาฟังแผนงาน โดยการประชุมครั้งแรกพูดถึงแค่แผนการใน 2 เฟสแรก ทีมสำรวจทีมแรกคือทีมรีคอน ที่ประกอบไปด้วย ซีล 4 นาย คือ เรือโท Michael P. Murphy (เทเลอร์ คิทซ์) หัวหน้าทีม, จ่า Danny P. Dietz (เอมิล เฮิร์ทซ), จ่า Matthew G. Axelson (เบน ฟอสเตอร์) และ พยาบาลเสนารักษ์ Marcus Luttrell (มาร์ก วอลห์เบิร์ก) ต้องทำการสำรวจพื้นในหุบเขา Sawtalo Sar

ตามแผนงานปฏิบัติการคือ ชีนุค 2 ลำ พร้อม อาปาเช่ 2 ลำบินคุ้มกันเพื่อปล่อยตัวซีลทีมแรกในหุบเขา Sawtalo Sar จนกระทั่ง ทีมแรก ได้ดำเนินตามเป้าหมายเสร็จสิ้นทั้งหมด และส่งโค้ดภารกิจกลับมา ซีลทีมสองถึงจะเข้าปฏิบัติการต่อ และจุดเปลี่ยนของภารกิจทั้งหมดมันมาจาก คนเลี้ยงแพะกลุ่มนึง

คนพื้นเมืองชาวอัฟกานิสถานและคนแก่อีก 1 คน ต้อนแพะขึ้นมาบนภูเขา และเจอกับทีมเข้า ทีมรีบจับพวกเขามัดไ้ว้ และเริ่มหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้ิน ทุกคนต่างรู้ดีว่า นี่คือปัญหาที่ใหญ่มาก และต้องจัดการให้ดีที่สุด ซีล 3 นายได้แก่ แอ๊ก,แดนนี่ และ มาร์คัส ถกเถียงกันเรื่องทางออก แอ๊ก และ แดนนี่สนับสนุนให้จัดการคนเลี้ยงแพะทั้งหมดซะ เพราะหากปล่อยคนเลี้ยงแพะไป พวกตาลีบันในหมู่บ้านจะต้องแห่ขึ้นมาฆ่าพวกเขาแน่นอน

ขณะที่มาร์คัสไม่ยอมให้พวกเขาฆ่าคนเลี้ยงแพะที่เป็นเด็กและคนแก่ ทั้งยังผิดกฏของภารกิจด้วยที่ฆ่าประชาชนที่ไม่ติดอาวุธ นอกจากนั้นหากผ่านภารกิจนี้ไป กองทัพอาจตกป็นข่าวครึกโครม ที่ฆ่าเด็กและคนแก่ผู้บริสุทธิ์เพียงเพื่อภารกิจ สุดท้าย เมอร์ฟี่ ต้องออกมาบอกว่า นี่ไม่ใช่การโหวต แต่ทุกคนต้องตัดสินใจร่วมกัน ...




พวกเขาเลือกปล่อยคนเลี้ยงแพะทั้ง 3 ไป

ทีมพยายามติดต่อกลับไปยังฐาน แต่ด้วยปัญหาจุดอับสัญญาณทำให้พวกเขาไม่สามารถติดต่อฐานได้เลย โดยจุดที่ส่งสัญญาณกลับฐานได้ครั้งล่าสุดนั้น อาจทำให้พวกเขาต้องเสี่ยงย้อนกลับไปเจอพวกตาลีบันที่อาจกำลังไล่ตามขึ้นมาก็ได้

สุดท้ายพวกเขาก็หนีไม่พ้น กองทัพตาลีบันกว่า 100 คนบุกขึ้นเขามาแล้ว

แดนนี่ที่เป็นพลสัญญาณพยายามติดต่อกลับฐานอีกครั้งแต่ไม่เป็นผล ทีมถูกต้อนขึ้นมาจนอยู่ชิดริมหน้าผา พวกเขาถอยร่นจนต้องกระโดดผาลงไป พวกเขารอดจากการโดดครั้งแรกได้ราวปาฏิหารย์ แต่ต่อมา กองทัพตาลีบัน ใช้อาวุธหนักทั้งปืนและ RPG พวกเขาถูกยิงในที่สำัคัญหลายจุด แต่ยังต้องถอยและตั้งรับ ยิงปะทะ

แดนนี่ ถูกยิงที่ขาและไม่สามารถเดินได้เอง มาคัสลากเขาไปตลอดทาง ทุกคนถูกยิง พวกเขาถูกล้อมจนต้องถอยร่นไปเจอหน้าผาอีกครั้ง มันคือผาหินลาดชัน แอ๊กโดดลงไปก่อน มาคัสแบกแดนนี่พาดหลัง ในวินาทีที่เขากำลังจะโดดนั่นเอง มาร์คัสก็ถูกยิงตกลงไป แต่ร่างของแดนนี่กลับกระเด็นออกมากองอยู่ที่ริมหน้าผานั้น ... แดนนี่ หรี่ตาที่ใกล้ปิดเต็มที มองกองทัพตาลีบันค่อยๆก้าวเข้ามาหา ...

ที่การโดดครั้งที่ 2 ทีมเสีย แดนนี่ ดีซไป



หลังจากเสียแดนนี่ไป ซีลที่เหลืออีก 3 คน ใกล้ถึงจุดที่ไปต่อแทบไม่ไหว

เมอร์ฟี่ที่เห็นว่า หากไม่รีบส่งสัญญาณขอทีมช่วยเหลือ พวกเขาอาจตายทั้งหมด เมอร์ฟี่เสียสละ วิ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุดบนเนินเขา เพื่อหวังส่งสัญญาณสุดท้าย บนที่เปิดโล่ง แม้รู้ดีว่า อาจไม่มีทางได้กลับลงมาอีกแล้ว


ทีมได้สูญเสียหัวหน้าทีมภารกิจ ไมเคิล เมอร์ฟี่ไปจากการส่งสัญญาณบนเนินเขา




สัญญาณสุดท้ายที่เมอร์ฟี่เสียสละไปเป็นผล พวกเขาติดต่อทีมได้ แต่นั่นคือความผิดพลาด ทีม 2 รออยู่ที่เบสแคมป์ แต่อาปาเช่ไม่ได้อยู่ที่ฐานเพราะกำลังบินสำรวจพื้นที่อยู่ ผู้การ Erik Kristensen (อีริค บาน่า) จึงตัดสินใจในภาวะเร่งด่วนด้วยการจัดทีมช่วยเหลือขึ้นชีนุคทั้ง 2 ลำ แม้จะไม่มีอาปาเช่คุ้มกันก็ตาม ... โดยเขาได้พาซีลคนใหม่ที่เป็นเหมือนน้องเล็กในทีมอย่าง จ่า Shane Patton (อเล็กซานเดอร์ ลุดวิก) ออกทำภารกิจแรกด้วย โดยเขามีอายุแค่ 22 ปีเท่านั้น ..

ปฏิบัติการช่วยเหลือนั้นมีชื่อว่า Red Wing II Ops ชีนุค 2 ลำมาถึงพื้นที่แล้ว ลำของผู้การอีริค เตรียมปล่อยทีมช่วยเหลือลง แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น RPG ถูกยิงขึ้นมา และ ชินุคก็ระเบิดออกทั้งลำ ชีนุคอีกลำเลยต้องรีบบินกลับฐานทันที ...

พวกเขาเสียทีมช่วยเหลือไปแล้ว



มาคัส และ แอ๊ก เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่พวกเขาพลัดหลงกัน แอ๊กไม่มีกระสุนเหลืออยู่แล้ว เขายิงกระสุนสุดท้ายจากปืนสั้นออกไป สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ กระสุนที่พุ่งมาจากฝั่งตรงข้ามและฝังลงที่หัวของเขา

ทีมเสีย แอ๊กเซลสันไปแล้ว

มาร์คัส หนีต่อไป จนไปเจอชะแง่งหิน เขาพลิกตัวหลบอยู่ใต้ผานั้น จนตาลีบันจากไป .. เขาตื่นขึ้นมาในรุ่งขึ้นของอีกวัน และเดินเท้าไปจนใกล้เขตหมู่บ้าน ... ชาวบ้านอัฟกันได้ช่วยเหลือเขาไว้ และ มาร์คัส รัทเทรล ได้กลายเป็นผู้รอดชีวิต คนเดียว จากการลงปฏิบัติภารกิจ Red Wing ในครั้งนี้ ...




หนังดิบๆแบบผู้ชายของ Peter Burg

สิ่งที่น่าประทับใจในฝีมือการกำกับของ Peter Berg คือ นี่คือหนังทหารที่ทำให้เราไม่รู้สึกฟูมฟายเลย ทั้งที่มันเป็นภารกิจที่เศร้าสะเทือนใจที่สุดในรอบหลาย 10 ปี ของกองทัพสหรัฐ อาจเพราะ ปีเตอร์ เบิร์กต้องการให้โทนหนังมีความรู้สึกของการเป็นหนังทหารจริงๆ อารมณ์ของหนังที่เราได้รับเต็มๆคือความรู้สึกแบบผู้ชายอันเข้มข้น

ไม่ว่าความตายของใครล้วนแล้วแต่มีความหมายเท่าๆกัน หนังไม่ได้ทำให้บทของใครโดดเด่นเป็นพิเศษ หากเทียบกับหนังภารกิจเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น หากคุณชอบความรู้สึกสุดเศร้าและระทึกใจจากการดู Black Hawk Down ของ ริดลี่ย์ สก็อต หรือความอบอุ่นสุดซาบซึ้งชวนประทับใจจาก Saving Private Ryan ของสตีเว่น สปีลเบิร์ก คุณอาจจะไม่ได้ ความรู้สึกนั้นจาก Lone Survivor ของปีเตอร์ เบิร์ก เลย

เพราะหนังไร้ความอบอุ่น ซาบซึ้ง หรือ ไดอะล็อคสุดคมคาย อย่างสิ้นเชิง
แม้จะมีอีริค บาน่า ร่วมแสดงด้วยก็ตาม (ฮา)

ที่บอกว่า Lone Survivor ของปีเตอร์ เบิร์กนั้นมีความเป็นผู้ชายอยู่สูงมาก เพราะหนังมีบทพูดที่ดูธรรมดาเหลือเกิน จนแทบมองไม่เห็นความหล่อ ความเท่ในแบบหนังทหารทั่วๆไป (ที่มักมีคำพูดหล่อๆ ฮีโร่ๆ ให้คนดูได้รู้สึกซาบซึ้งกัน) แต่กลับเป็นบทสนทนาธรรมดาๆ เช่น การของขวัญให้ภรรยา แม้แต่สีที่จะเอาไปทาบ้าน หากได้กลับไปบ้านหลังภารกิจนี้ ...

ในช่วงของภารกิจ หนังไม่ได้เปิดโอกาสให้เรารู้สึกลุ้นเท่าไรนัก เพราะมันเป็นการสาดกระสุนแบบนันสต็อป ถูกต้อนและถอยร่น และ ถูกยิงตลอดเวลา แม้แต่ฉากที่ตัวละครตาย เรายังไม่ได้รู้สึกเศร้าเลย ทั้งที่มันน่าจะต้องเศร้าจนน้ำตาทะลักแท้ๆ คือเราก็น้ำตาทะลักนะ แต่คิดไว้ว่า หนังจะบิวด์กว่านี้ ทั้งดนตรี หรือ การดำเนินเรื่อง ไม่เอื้อให้ทะลักเลย

หลายคนไม่ชอบดูหนังสงครามหรือหนังทหาร เพราะ ไม่ชอบหนังที่กล้องสั่นไปมา หรือ แม้แต่การใช้เทคนิด Hand-held ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลัง หนังทหารยังมีมุมกล้องให้เล่นมากกว่านั้น ทั้งมุมกล้องแบบข้ามไหล่ มุมจากปลายกระบอกปืน ฯลฯ



ซึ่ง Lone Survivor ไม่ได้ใช้มุมกล้องสร้างความหลากหลายอะไรเลย ดูง่าย ชัดๆ แจ่มๆ เหมือนหนังแอคชั่นทั่วไปนี่แหละ (นี่อาจเป็นส่วนนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่า หนังดูธรรมดามาก) แม้จะมีมุมแบบหนังสงครามหรือหนังทหารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่า เป็นจุดเด่นของหนังแต่อย่างใด ปีเตอร์ เบิร์ก ได้ผู้กำกับภาพคนเดิมที่เคยร่วมงานกันมาแล้วหลายเรื่อง อย่าง Tobias A. Schliessler ที่เคยฝากผลงานไว้ใน Battleship มาแล้วนั่นเอง

ซึ่งแม้งานภาพจะดูธรรมดาจนเรานึกเสียดาย แต่โดยรวมแล้ว การเล่าเรื่องหรือดำเนินเรื่องก็ไม่ได้ย่ำแย่ แม้จะแข็งและทื่อไปนิด แต่ก็ให้อารมณ์ของหนังทหารที่ดิบแตกต่างจากโทนดราม่า เศร้าซึ้งทั่วไปๆ (หนังทหารมักลงเอยด้วยน้ำตาเสมอ)

โดยรวมแล้ว ชอบเลยทีเดียว ห้วนสั้น ชัดเจน ไม่ต้องฟูมฟายอะไรมาก

อีกอย่างคือ หนังใช้ศัพท์ทางทหารและตัวย่อเยอะมาก จนบางทีคนดูที่ไม่ค่อยคุ้นศัพท์อย่างเราๆอาจงงเล็กๆได้ และคำพูดในหนังที่เยอะที่สุดคือคำว่า F*ck ที่ตัวละครพ่นกันมาทุก 1 นาทีจริงๆ ...



ความตายของ มาคัส รัทเทรลล์

มาร์คัส รัทเทรลตัวจริงเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด และเชื่อในพระเจ้า การตัดสินใจในคราวนั้น ส่วนนึงก็เพราะเขาไม่อาจทำใจฆ่าคนบริสุทธิ์ ที่ยังไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ได้ และเพราะเขาเชื่อมั่นในพระเจ้า เขาเลยปล่อยคนเลี้ยงแพะไป

ในหนัง ตอนที่พวกเขาเจอไล่ต้อนครั้งแรกจนต้องกระโดดหน้าผา แต่สามารถรอดมาได้ รัทเทรลล์ ได้หันมาบอกกับ เมอร์ฟี่ว่า "เห็นไหม พระเจ้าทรงเฝ้ามองเราอยู่จริงๆ" เมอร์ฟี่ได้ตอบกลับมาว่า "ถ้าพระองค์มองอยู่จริงๆ ฉันก็เกลียดชะมัดเวลาที่เขาโกรธ"

ครั้งนึงในหนัง มาร์คัสบอกว่า เขาอาจตัดสินใจผิดที่ปล่อยคนเลี้ยงแพะไป แต่หนังก็ได้ทำให้เราเห็นว่า จนวินาทีสุดท้าย ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของใครที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพราะ ณ เวลานั้นทุกคนได้ตัดสินใจร่วมกันมาแล้ว

บทสัมภาษณ์ของมาร์คัส รัทเทรลตัวจริงบอกว่า
"การตัดสินใจในครั้งนั้น และ ความรู้สึกอันเลวร้ายนี้ จะไม่มีวันหายไปจากตัวเขา และมันจะลงหลุมไปพร้อมกับเขาในที่สุด ความตายเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้..."

มาร์คัส รัทเทรลในหนังบอกว่า

"ผมตายอยู่บนภูเขาลูกนั้น
ส่วนหนึ่งของผมอยู่บนภูเขานั่น ความตาย ..
เช่นที่พี่น้องของผมตาย

ส่วนหนึ่งที่ยังมีชีวิตของผมอยู่ที่เพราะพี่น้องของผม
ผมมีชีวิตอยู่ได้เพราะพวกเขา

และมันไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมลืมเลือนได้
ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน จะต้องพบกับความมืดมนมากเท่าไร
และต้องล้มลงอีกสักกี่ครั้ง

...
คุณจะไม่มีทางหนีจากการต่อสู้ได้ครั้งนี้ได้ ..."

4/5

...................................................................................................................................................




... ยุทธการปีกแดง ...


หลังจากความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ในปฏิบัติการ Red Wing ที่ทำให้มีทหารเสีียชีวิตในภารกิจทั้งสิ้น 19 นาย เป็น Navy Seal 11 นาย และหน่วย Night Stalker อีก 8 นาย สัปดาห์ต่อมา "ยุทธการปลาวาฬ" คือการสานจากความล้มเหลวในภารกิจ Red Wing และสามารถบรรลุเป้าหมายคือ การฆ่า อามัด ชาห์ ได้ในที่สุด

"ยุทธการปลาวาฬ" นี่เองก็เป็นดั่งภาคต่อของ "ปีกแดง" เพราะชื่อปฏิบัติการนั้นมาจากทีมกีฬาเช่นเดียวกัน นั่นคือ Hartford Whalers ทีมฮอกกี้น้ำแข็งในคอนเนคติคัด




ปีต่อมาชื่อของ แดนนี่ ดีทซ์ และ แมธธิว เอ็กเซลสันได้รับประดับเหรียญกล้าหาญ Navy Cross ที่มีเกียรติสูงสุดของกองทัพเรือ เช่นเดียวกับ มาคัส รัทเทรล ขณะที่ เรือโท ไมเคิล เมอร์พี่ ได้ประดับเหรียญ Medal Of Honor หรือ เหรียญกล้าหาญขึ้นสูงสุดที่สุดในกองทัพสหรัฐ

เพื่อเป็นการ รำลึกเกียรติคุณและความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ของไมเคิล เมอร์ฟี่ ในปี 2010 กองทัพสหรัฐได้แต่งตั้งชื่อเรือรบประจัญบานรุ่น DDG-112ด้วยชื่อใหม่ว่า USS Michael Murphy และได้ปลดประจำการเรือรบ USS Michael Murphy เพื่อนำมาใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ของ ไมเคิล เมอร์ฟี่ ต่อไป ...





มาคัส รัทเทรลล์ และ มันรีน เมอร์ฟี่ ภรรยาของไมเคิล เมอร์ฟี่ ในงานรับมอบเหรียญกล้าหาญของไมเคิล



ไมเคิล เมอร์ฟี่ และ แมธธิว เอ็กเซลสัน ขณะยังมีชีวิตอยู่


แดนนี่ ดีซท์


เอริค คริสเตนเซน


เชน แพตตอน
...................................................................................................................................................

หนังสือที่เกี่ยวข้อง



Lone Survivor: The Eyewitness Account of Operation Redwing and the Lost Heroes of Seal Team 10
Lone Survivor : เย้ยมัจจุราช (แปลไทย)




No Easy Day: The Firsthand Account of the Mission that Killed Osama bin Laden
No Easy Day: ปฏิบัติการ ล่าสังหารบิน ลาเดน



Victory Point: Operations Red Wings and Whalers - The Marine Corps' Battle for Freedom in Afghanistan (ยังไม่มีแปลไทย)

...................................................................................................................................................

บทความที่เกี่ยวข้อง

เปิดบทสัมภาษณ์ "The Shooter" มือสังหาร ผู้ลั่นไกปลิดชีพ บิน ลาเดน
http://pantip.com/topic/30413503

... กว่าจะเจอ บิน ลาเดน ใน Zero Dark Thirty ...
http://pantip.com/topic/30108958

ชวนอ่านวรรณกรรม(แปลไทย) ที่กำลังจะทำเป็นภาพยนต์ ภาค 4 !!
http://pantip.com/topic/30692758/comment9

...................................................................................................................................................

- เนื่องจากผู้เขียนไม่ใช่คุ้นกับศัพท์ทางทหารนัก เลยพยายามเขียนตามความเข้าใจ ผิดพลาดประการใดขออภัยล่วงหน้าจ้า
- หนังยังไม่เข้าไทย แต่พอดีมีคนหามาให้เราดูก่อน เลยมีโอกาสได้ดูก่อนเท่านั้นเองจ้า
- หนังเข้าฉายในประเทศไทยในชื่อ "ปฏิบัติการพิฆาตสมรภูมิเดือด" วันที่ 31 มกราคมนี้
< >