สร้างจากหนังสือเรื่องสั้น ที่ว่าด้วยชายกลัวเมียคนหนึ่งที่ชอบเพ้อฝันลมๆแล้งๆ จนแทบแยกชีวิตจริงกับโลกแห่งความฝันไม่ออก ในโลกแห่งจินตนาการนั้น เขาคือ ฮีโร่และเต็มไปด้วยเรื่องราวผจญชีวิตอันน่าตื่นตา ถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งฉบับหนังเมื่อปี 1948 นั้นก็ค่อนข้างจะออกทะเลจากฉบับหนังสือพอสมควร จนกระทั่ง หนังได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปในปี 2000 โดย วอลท์ ดิสนีย์ โปรเจคเปลี่ยนมืออยู่หลายครั้งหลายคน ทั้งสตูดิโอ และผู้กำกับ แม้แต่รายชื่อนักแสดง จนกระทั่งมาลงล็อคเอาจนได้ตอนปี 2011 เบน สติลเลอร์ ดาราตลก ที่ผันตัวมาทำงานด้านโปรดิวเซอร์และกำกับภาพยนตร์ ได้รับผิดชอบโปรเจคนี้ โดยเขาได้รับหน้าที่ กำกับ รวมทั้งเป็นนักแสดงนำ
เบน สติลเลอร์ เป็น วอลเตอร์ มิตตี้ ...
เนื่องจากฉบับภาพยนตร์ในปี 2013 ของเบน สติลเลอร์นั้นแทบไม่เหมือนกับฉบับหนังสือเลย (ยกเว้นเรื่องอาการหลุดโลก) เพราะฉะนั้นหนังได้ตัดขาดเนื้อหาออกจากหนังสือโดยสิ้นเชิง ว่ากันจริงๆแล้ว ... มันน่าจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น The Secret Life Of Ben Stiller มากกว่าด้วยซ้ำ
เพราะอะไร .. มาดูเลย
THE SECRET
ความลับของมิตตี้ (ของเจมส์ เธอเบอร์ คนแต่งฉบับหนังสือ) คือ เขามัก "หลุดโลก" เข้าสู่โลกในจินตนาการของตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่มันค่อนข้างต่างจากในฉบับภาพยนตร์ในปี 2013
เพราะจริงๆแล้วไอ้อาการ "หลุดโลก" นั่นก็ไม่ใช่ความลับเสียทีเดียว ในหนัง The Secret Life Of Walter Mitty ของเบน สติลเลอร์ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่า "ความลับ" ของตัวละครสักเ่ท่าไรนัก สิ่งที่โดดเด่นจริงๆของหนังนั้นเป็นประเด็นที่ถือว่าซีเรียสและธรรมดาอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว
มันไม่ใช่การหลุดโลก
มันไม่ใช่หนังที่พูดเรื่องการออกไปเปิดโลกใหม่
หรือ การออกไปผจญโลกกว้างเพิ่มความกล้าให้ตัวเองอะไรแบบนั้น
(แม้หนังพยายามจะเล่าแบบนั้นก็ตาม)
แก่นสำคัญจริงๆของเรื่องราวมันคือ
"การทำงาน" ต่างหาก
มิตตี้เป็นคนจริงจังกับงาน จนชีวิตนอกเหนือจากนั้นจืดชืดและไร้เรื่องตื่นเต้น เมื่อเขาดันไปแอบปิ๊งพนักงานใหม่ จนต้องแอบไปเข้าร่วมเว็ปไซต์หาคู่เพื่ออยากคุยกับเธอ สุดท้ายแล้ว ปัญหาของมิตตี้ เป็นเรื่องที่ฟังดูงี่เง่าหน่อยๆคือ "เขาไม่ได้กรอกเรื่องงานอดิเรกลงในโปรไฟล์ของตัวเอง" มิตตี้ให้เหตุผลว่า เพราะเขาไม่มีอะไรให้กรอก
คือเป็นคนธรรมดา ทำงานอย่างเดียว ไม่มีงานอดิเรกอื่น
พูดง่ายๆคือ น่าเบื่อสุดๆนั่นแหละ
จนกระทั่งที่ำทำงานของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการควบรวมกิจการและการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ทำให้การทำงานแบบที่เคยเป็นอาจต้องเปลี่ยนไปด้วย แล้วก็มิตตี้ก็ "งานเข้า" เมื่อเขาดันทำฟิล์มภาพถ่ายจากช่างภาพสุดติสท์ผู้ติดต่อยากหาย ซึ่งภาพนั้นสำคัญสุดๆถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายอาชีพของมิตตี้เลยทีเดียว เนื่องจากเป็นภาพที่จะถูกนำมาขึ้นปกของนิตยสารเล่มสุดท้ายของบริษัท ก่อนบริษัทจะปรับไปเป็นรูปแบบดิจิตอลทั้งหมด
มิตตี้จึงเริ่มต้น "ตามหา" ตัวช่างภาพสุดติสท์ที่ "อาจจะ" ยังมีฟิล์มภาพสำคัญนั้นอยู่กับตัว การเดินทางของมิตตี้ ทำให้เขาได้ค้นพบอะไรมากมาย เป้าหมายของมิตตี้ ยังหนีไม่พ้นเรื่องงาน แต่เพราะ "ออกไปทำงาน" นั่นเองที่ทำให้มิตตี้ได้ค้นพบ "บางส่วนที่หายไป" ของตัวเอง เขาไม่ได้ออกไปตามหาอะไรใหม่ แค่ออกไปค้นพบ "ของที่เคยทำหาย" ไปก็เ่ท่านั้น
นั่นคือ ชีวิตอันโลดโผนของตัวเองในวัยเด็ก ..
ใครๆก็เคยมีชีวิตแบบนั้น แต่เมื่อทุกคนเติบโตขึ้น การมีหน้าที่การงานรุมเร้า ทำให้เราอาจหลงลืมเรื่องสนุกๆและจินตนาการถึงเรื่องความตื่นเต้นเหล่านี้ไป และเป็น "งาน" ของมิตตี้นี่เอง ที่บังคับให้เขาออกไป "เก็บ" มันกลับมาอีกครั้ง
นั่นแหละคือ "ความลับ" ของวอลเตอร์ มิตตี้ (ฉบับเบน สติลเลอร์)
LIFE
นิตยสาร LIFE เป็นนิตยสารที่มีอายุยาวนานเกือบ 100 ปี ก่อตั้งตั้งแต่ปี 1883 เริ่มแรกนั้นมันเป็นนิตยสารแนว เรื่องเล่าขำขัน คอลัมน์งานอดิเรก และบทความปกิณกะทั่วไป จนกระทั่งมันถูก เจ้าของนิตยสาร TIME ซื้อกิจการไปในปี 1936 LIFE จึงกลายมาเป็นนิตยสารเชิงข่าวและสารคดีเล่มสำคัญแห่งยุค...
บทภาพยนตร์ร่างแรกของ The Secret Life Of Walter Mitty นั้นเป็นฝีมือของ Steven Conrad ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในด้านการเขียนบทภาพยนตร์แนว "ชีวิตชายวัยกลางคน" ซะเหลือเกิน ผลงานที่ผ่านมาของเขาก็อย่างเช่น The Pursuit of Happyness, The Weather Man, Wrestling Ernest Hemingway, The Promotion ฯลฯ
ครั้งแรกตอนที่ มีข่าวว่าเบน สติลเลอร์ จะมารับบทเป็นมิตตี้นั้น ไม่มีใครคิดว่า ตอนประชุม เขาดันขอควบหน้าที่ผู้กำกับด้วยซะงั้น ทีแรกสตูดิโอ 20th Century Fox มึนตึ้บเล็กน้อย เพราะไม่บ่อยนักที่นักแสดงนำจะมาขอควบบทผู้กำกับด้วย
และที่สำคัญ เบน นายจะไหวเร้อะ ..?
สุดท้าย เบนก็ทำให้สตูดิโอเชื่อใจ เขาได้รับหน้าที่กำัักับ พร้อมทั้ง รับบทนักแสดงนำด้วย สตีฟบอกว่า ตอนที่เขาส่งบทร่างแรกให้เบนดู บทถูกส่งกลับมาพร้อมด้วยตัวหนังสือโน๊ตลงรายละเอียดเต็มพรืด ในส่วนที่ต้องเพิ่มเติมและแก้ไข ..
เขาเป็นคน "เยอะ" นะ เบนน่ะ ...
และการที่หนังพูดถึง การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิตอล ของสิ่งพิมพ์ และยังเลือกเอาไทม์ไลน์ของนิตยสาร LIFE มามันทำให้หนังช่างเหมาะเจาะลงตัวกับการเล่าเรื่อง "ชีวิต" เหลือเกิน และนั่นขึ้นอยู่กับว่า เรานิยามคำว่า "ชีวิต" ไว้แบบไหน
การออกไปผจญโลกกว้าง หรือ การนั่งทำงานในห้องสี่เหลี่ยม?
อย่างไหนคือ ชีวิตที่แท้จริงกันแน่ ...
นั่นคือคำถามที่หนังโปรยไว้จากใน "ตัวอย่างภาพยนตร์" และ "เรื่องย่อ"
แต่คำตอบจริงๆ มันอยู่ในหนัง ซึ่ง .. มันอาจไม่ใช่คำตอบแบบที่เราเคยคิดเลยก็ได้
"ชีวิต" มันไม่แน่นอนอยู่แ้ล้วนี่นะ ..
OF BEN STILLER
เบนบอกว่า สิ่งที่เขาอยากเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ไ่ม่ใช่นักแสดง แต่เป็น "ผู้กำกับ" เบนเกิดในครอบครัวนักแสดง พ่อและแม่ของเขาต่างเป็นนักแสดงตลกชื่อดังทั้งคู่ เบนถูกคาดหวังให้เติบโตมาเป็นนักแสดงชื่อดังแบบพ่อแม่ แต่ ณ ตอนนั้นเขาก็บอกกับตัวเองและใครๆเสมอ "ผมจะไม่เป็นแบบใคร ผมมีเส้นทางของตัวเอง"
ถึงอย่างนั้น เบนก็เริ่มต้นด้วยการแสดง และแน่นอน เขาโด่งดังอย่างมากกับการเป็นดาราตลก จนพาตัวเองขึ้นมาสู่ดาราตลกแถวหน้าของวงการ ... ตอนอายุย่างเข้า 40 นั่นเอง เบนถึงได้ "สานฝัน" ในวัยเด็กของตัวเอง ด้วยการเป็น "ผู้กำกับ"
"อย่างที่บอกไปตั้งแต่ทีแรก ผมอยากเป็นผู้กำกับมาตลอด ตอนเป็นนักแสดงมันก็จะมีขอบข่ายการทำงานประมาณนึง แต่เหนืออื่นใด คุณไม่มีทางหลุดพ้นจาก 'บทบาท' ได้เลย คุณต้องรับบทเป็นคนอื่นตลอดเวลา เมื่อถึงจุดนึง ผมถึงรู้ึสึก ผมควรได้ทำตามความฝันสักที การเป็นผู้กำกับมันเหนืออกมา ... เพราะคุณคือผู้ควบคุม มันคือการทำงานที่ไร้ขีดจำกัด ... นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเป็นมาตลอด"
เมื่อเขามาทำงานด้านการกำกับ เบนก็มักเลือกนักแสดงจาก "กลุ่มเพื่อน" ก่อนเสมอ อย่างหนัง Tropic Thunder ที่เป็นการรวมก๊วนเพื่อนซี้ของเขาไว้ทั้งหมด ... แม้แต่หนังเรื่องล่าสุดอย่าง The Secret Life Of Walter Mitty ก็ตาม
เพื่อนคนนั้นคือ ฌอน เพนน์
"บางคนชอบบอกผมว่า 'เฮ้ คุณเหมาะกับบทนั้นจริงๆ นั่นดูเป็นตัวคุณชะมัด' ผมอยากบอกพวกเขาเลยว่า พวกเขาคิดผิด เพราะ 'ผมไม่เคยเป็นคนอื่น' ... นั่นคือสิ่งที่อยากให้ทำความเข้าใจ" ฌอน เพนให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทล่าสุดที่เขารับบเป็น ช่างภาพมือฉมังผู้ติสท์เหลือแสน ยึดมั่นในความคลาสสิคของการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มอย่างสุดจิตสุดจิต ฌอน กับ เบน มีนิสัยและแนวคิดที่คล้ายๆกัน
พวกเขาเป็นนักแสดงก็จริง แต่ไม่ชอบให้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือบทบาทที่ตัวเองได้รับ
พยายามบอกว่า "คนแบบ(พวก)เขา มีแค่ 1 เดียว" เท่านั้น
แม้แต่คนที่มารับบทเป็นน้องสาวของมิตตี้ อย่าง แคทธรีน ฮานน์ และ อดัม สก็อต ที่มารับบทเป็น "ไอ้หนวด" คนปรับโครงสร้างใหม่ของบริษั ก็เกิดจากการที่ เบน เป็น "แฟนหนัง" ของทั้งคู่ (อดัม สก็อตและแคทธรีน ฮานน์ เคยเล่นหนังด้วยกันใน Step Brothers (2009)
หนังเรื่องล่าสุดของเบน อย่าง "มิตตี้" คือการสานฝันและำตามจินตนาการในฐานะผู้กำกับของเขา มันมากเสียจนบางคนมองว่า "นี่มันไม่เคารพบทประพันธ์เอาเสียเลย" เพราะมันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง และแทบไม่เหลือแก่นใดๆไว้เลย มันน่าจะถูกเปลี่ยนชื่อไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว ..
เบน เป็นคนนิวยอร์ค ... กองถ่ายภาพยนตร์หลายๆเรื่อง เมื่อต้องมีการเซตฉากในเมือง .. นิวยอร์คจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ด้วยเพราะ ค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และ การจัดการที่ยากลำบาก รวมทั้งความวุ่นวาย .. แต่เบนค่อนข้างเอาแต่ใจ ... เมื่อเขาจะทำหนังเกี่ยวกับชีวิตของชายคนนึงแบบ มิตตี้ เบนคิดว่า มันสมควรจะเป็น นิวยอร์ค อย่างยิ่ง
เบนเป็นนิวยอร์คเกอร์เต็มตัว เขารู้และเข้าใจความหลากหลายและความมีชีวิตชีวาของนิวยอร์ค และมันเหมาะสมที่สุดกับเรื่องราวใน มิตตี้
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เมื่อเป็น นิวยอร์ค เบนเลยเลือก เดวิด สเวย์น ให้มาดูแลเรื่อง Art Direction ในหนัง (สเวย์นเคยทำอาร์ตไดฯ ของ Munich,Spider man 2, Man On Ledge หนังหลายเรื่องที่มีโลเกชั่นในนิวยอร์ค) เพราะฉะนั้น 'Mitty' เลยมีความเข้มข้นตามบรรยากาศของชาว "นิวยอร์คเกอร์" อยู่สูงมาก ...
ในกองถ่ายมิตตี้ ทีมงานต่างยกนิ้วให้กับการทำงานของเบน เขาบ้าคลั่งมาก
"เมื่อ เป็นนักแสดง เขาก็จะเป็นอีกคนนึง เมื่อมาำกำกับ เขาก็จะกลายเป็นอีกคน หลายครั้งนั่นนำให้พวกเราลำบาก เพราะผู้กำกับ ไม่พอใจกับการแสดงของตัวเองสักที! แต่นั่นถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสุดๆ เขาจัดการกับหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก" หนึ่งในทีมงานพูดถึงเบน
The Secret Life Of Walter Mitty จึงอาจไม่ใช่หนังที่พูดถึงการออกไปใช้ชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นหนังที่กำลังจะบอกว่า ข้างทางเต็มไปด้วยน่าสนใจก็จริง แต่บางครั้งปลายทางก็ไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป (คนมักพูดว่า สิ่งสำคัญอยู่ที่ข้างทาง มากกว่าปลายทาง) แม้มิตตี้จะออกไปผจญโลก ทำเรื่องน่าตื่นเต้นเหลือคณาแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับมายังโลกแห่งความจริง เพื่อใช้ชีวิต และอยู่กับการทำงานของตัวเองต่อไป
ชีวิตคือการดิ้นรน บนโลกของความเป็นจริง
และสุดท้ายคนที่ำำทำงานอย่างตั้งใจ จะได้รับการตอบแทนในที่สุด
ต่อให้มันจะใช้เวลานานและมีอุปสรรคมากมายก็ตามที
นี่คือหนังจากคนบ้างาน ผู้มีความฝัน และ พยายามเดินตามความฝันของตัวเอง แม้จะอ้อมและเสียเวลาอยู่นาน แต่การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ระหว่างทางของเขา ทำให้เขาพบได้พบว่า สุดท้ายการได้ทำตามความฝันของตัวเองจริงๆสักที มันทำให้เขามีความสุขมากแค่ไหน
ฟังดูคล้ายชีวิตของมิตตี้ แต่จริงๆแล้ว
นี่คือชีิวิต ของ Ben Stiller
...
The Secret Life Of Ben Stiller
CHASE THE FILM
สิ่งที่ชอบมากในมิตตี้คือ หากใครชอบหนังประเภทที่เล่นกับสัญญะทางภาพแล้ว คงได้เฝ้าสังเกตุตามจุดมุมเล็กๆต่างๆในหนังกันได้อย่างสนุกเลยทีเดียว ตั้งแต่การตามหาภาพฟิล์มเบอร์ 25 หากใครเป็นช่างภาพคงน่าจะพอเก็ทๆกับตัวเลขนี้ เพราะมันหมายถึงจำนวนเฟรมภาพที่ำทำให้ภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหว ถ้าสังเกตุมากกว่านั้นอีกหน่อยจะพบว่า ชานชาลาที่มิตตี้ไปยืนรอรถไฟครั้งแรกก็คือ ชานชาลาที่ 125 เช่นเดียวกัน และอาจเรียกว่าความบังเอิญก็ได้ (ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่) คือตอนที่มิตตี้ไปนั่งดูฟิล์มที่หน้าน้ำพุนั้น ป้ายด้านหลังของที่แปะอยู่บนหน้าตึก LIFE เขียนคำว่า CHASE ตัวบะเริ้มแปะอยู่ ประกอบกับการเดินเข้ามาในเลนส์ขยายของ สาวที่เขาแอบปิ๊ง มันก็โป๊ะเชะ เหมาะเจาะลงตัวพอดี
ถึงเวลาที่เขาต้องออกไป CHASE THE FILM ได้แล้ว
(คล้ายๆกับ CHASE THE DREAM นั่นแหละ)
และมิตตี้ยังได้เล่นสนุกกับคนชอบหนังปริศนาแบบเราด้วยการเพิ่มสัญลักษณ์ การทำเควสต่างๆเข้ามาให้คนดูได้ลุ้นกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่การพยายามหา "เบาะแส" และการได้รับคำแนะนำเรื่องการแต่งนิยาย ปริศนาลึกลับ การคลาดกับอีกตัวละครไปเรื่อยๆ ทำให้ภารกิจ CHASE THE FILM ยังคงต้องดำเนินต่อไป ผ่านการค้นพบ ชิ้นส่วนของมิชชั่นต่างๆ ที่จะพาเขาไปจบเควสได้ในท้ายที่สุด ..
แต่เมื่อจบเควสได้ แล้วยังไงต่อล่ะ ..
นั่นหล่ะคือ ชีวิต ที่รออยู่ ...
นิยายโรแมนติคเรื่องนึงที่เราเคยอ่านเจอ มีบทสนทนาอันนึงที่เราชอบมาก
"ฉันเนี่ยนะเป็นคนไม่เคยผจญชีวิต? ฉันเคยพายเรือแคนนูรอบอ่าว เข้าไปในป่าอเมซอน คุยกับชาวเผ่ามาแล้ว"
"นั่นมันคือ การออกไปเที่ยว ผมไม่เรียกมันว่าผจญชีวิต การผจญชีวิตของจริงน่ะคือนี่ต่างหาก คือการทำงาน"
มันน่ะถูกเป๊ะเลย ..
นอกจากหนังจะชอบใส่สัญญะลงมาตลอดเรื่องแล้ว สิ่งที่ชวนให้เพลินสุดๆคืองานภาพ ที่องค์ประกอบภาพงดงามมาก ด้วยโลเกชั่นที่อลังการแปด แต่คุณจะไม่แปลกใจเมื่อได้เห็นชื่อของผู้กำกับภาพใน Mitty เขาคือ Stuart Dryburgh ผู้กำกับภาพคนดังจากหนังเรื่อง The Piano (1993) นั่นเอง
และอย่างที่บอกไปแ้ล้วด้านบนว่า นี่อาจไม่ใช่หนังที่กระตุ้นอยากให้คนออกไปใช้ชีวิต หรือ ออกไปผจญโลกจริงๆอะไรขนาดนั้น แม้ตัวละครจะท่องไปค่อนโลก แต่สุดท้ายเขาก็ยังต้องกลับเข้ามาู่สู่ที่ทางของตัวเองในที่สุด
การที่ช่างภาพอย่าง ฌอน โอคอนเนอร์ ดูเหมือนจะเป็นคนที่เจ๋งสุดๆ เพราะเป็นช่างภาพที่ได้ออกไปผจญภัยทั่วโลก แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่ฌอนเป็นคือคนที่ยึดมั่นกับงานของตัวเองและ เขามีคติในการทำงาน และทำทุกวิถีทางให้งานของตัวเองออกมาดีที่สุด
เช่นเดียวกับตัว มิตตี้เอง เขาทำงานอยู่ในส่วนที่มืดที่สุดของบริษัท คือ คนอัดล้างฟิล์มเนกาทีฟ นั่งมองฟิล์มนับแสนใบ ที่เป็นภาพถ่ายจากทั่วทุกมุมโลก โลกที่เขายังไม่ได้ออกไปสัมผัสมันเสียที และ เมื่อโอกาสอำนวย "ความทุ่มเทต่องาน" ของมิตตี้ได้พาให้เขาออกไปตามหาภาพถ่าย "เพื่อรักษางานของตัวเองไว้" นั่นทำให้เขาได้สัมผัสว่า จากที่เคยมองโลกผ่าน เลนส์ขยาย และ ผ่านฟิล์มในห้องอัดรูป โลกจริงๆมันกว้างใหญ่แค่ไหน
หนังเลยพยายามทำให้ การผจญภัยของมิตตี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เพื่อเล่นล้อกับ "โลกจากภาพถ่าย" และ "โลกจากสองตาจริงๆ" ให้ได้มากที่สุด
นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่หนังได้ลอกมาจากหนังสือเป๊ะๆคือการ "Blur The Line" หรือ การทำให้คนดูแยกไม่ออกว่า เรื่องไหนคือจินตนาการ เรื่องไหนคือความจริง .. เส้นแบ่งมันเลือนลางจนแทบมองไม่เห็น ซึ่งมันได้ถูกถ่ายทอดให้เห็นชัดเจนในบางฉากด้วย นั่นคือฉากที่ มิตตี้พยายามจะกด WINK เขานั่งอยู่หน้าจอ และ ถอยหลังออกไปจนหลุดโฟกัสของกล้อง เพื่อตัดสินใจว่า "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" ดี ..
กล้าพอไหม..นั่นแหละ
เมื่อมิตตี้หลุดโฟกัส มันก็ปรากฏให้เห็นเป็นภาพเบลอๆ นั่นหมายถึง ความไม่แน่ใจ ลังเล ประหม่า ชั่งใจ และเมื่อเข้าเดินกลับมาที่หน้าจออีกครั้ง มันก็อยู่ในระยะโฟกัสพอดี ซึ่งก็แปลว่า ทุกอย่างมันชัดเจน และเขาตัดสินใจแล้ว
ชีวิตและการตัดสินใจของคนมันก็เหมือนเวลาเราจะถ่ายรูป
มันต้องปรับโฟกัสกันสักนิด ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ ...จริงไหม?
เพราะฉะนั้นแล้ว The Secret Life Of Walter Mitty จึงพยายามให้ความสำคัญกับ "การทำงาน" ของทุกคน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะตัวเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ความเคารพและเชื่อใจคือสิ่งสำคัญในที่ทำงาน ซึ่งนั่นก็รวมถึงการใช้ชีวิตด้วย
แม้แต่คนหาปลาที่กลางทะเล ยังต้องยอมพึ่งคนขับฮ.ที่เมาหยำเป แต่ก็ยังอุตสาห์เอาของมาส่งให้ได้ตามหน้าที่
แม้แต่ช่างภาพที่เก่งที่สุดในโลก ถ่ายภาพมาได้สวยงามและลำบากแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้เห็นภาพของเขาหาก ไม่มีคนอัดฟิล์มล้างภาพให้
หนังพยายามบอกว่า ในการทำงาน ทุกคนต่างต้องพึ่งพากัน
ไม่มีใครทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
และเมื่อคุณทำงานได้ดีคุณจะได้รับสิ่งตอบแทน
ไม่ว่านั่นจะเป็นแค่ค่าิทิปเล็กๆน้อยๆ การจากช่วยขนย้ายเปียโน
หรือจะยิ่งใหญ่ขนาดที่ได้ลงเป็นปกบนหน้านิตยสารเล่มสำคัญก็ตามที
คนที่ตั้งใจทำงาน พวกเขาจะได้รับสิ่งตอบแทนเสมอ
นี่คือหนังจากคนบ้างานอย่าง เบน สติลเลอร์ นั่นเอง ...
บทสัมภาษณ์บางส่วนจาก ::
- http://variety.com/2013/film/news/ben-stiller-on-hollywoods-long-journey-with-the-secret-life-of-walter-mitty-1200911759/
- http://www.firstshowing.net/2013/interview-ben-stiller-on-his-directing-choices-making-walter-mitty/
- http://en.wikipedia.org/wiki/Life_%28magazine%29#cite_note-29
- http://en.wikipedia.org/wiki/The_Secret_Life_of_Walter_Mitty
รีวิวได้ดีมากเลยครับ บอกตรงๆว่าผมดูแล้วไม่ได้มองเห็นถึงจุดสำคัญตรงนี้เลย
ตอบลบ