ตอนนั้นอยู่ป.3-4 ก็เริ่มอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่ได้อ่านแบบซีเรียสจริงจัง แต่อ่านตามพี่ชาย พี่ชายจะอ่านการ์ตูนเยอะมาก ไม่เว้นแม้แต่พวก I's หรือ Video Girls อะไรแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นเป็นการ์ตูนต้องห้าม คือ พี่ชายห้ามเราอ่านตอนนั้นไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เพราะภาพหน้าปกมันสวยมาก อยากอ่านสุดๆ พี่ชายงี้ อ่านเสร็จเก็บเข้าลิ้นชัก ล็อกก่อนไปโรงเรียนทุกครั้ง หวงสุดฤทธิ์ ... พอโตกว่านั้นถึงได้รู้ว่า เพราะอะไรพี่ถึงห้าม 555555555
จริงๆ บ้านเราอ่านการ์ตูนกันทุกแนวค่ะ ที่อ่านกันแบบซีเรียสแบบติดตามทุกเล่มทุกภาคเลย น่าจะ ดราก้อนบอลก่อน ตามมาด้วย โดเรมอน และ สแลมดังค์ แต่ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นอีก คือ บ้านเราอ่านรันม่า และ ลามู ด้วย เรางี้ชอบลามูกับรันม่ามาก แต่จำได้ว่า ลามูนี่จะแอบทะลึ่งนิดๆ จนตอนหลังๆเริ่มอ่านพวกการ์ตูนที่เขาฮิตๆกัน BOY,จอมเกบลู,Yu-ki-Oh!,ก้าวแรกฯ,One Piece ฯลฯ นอกจากจะซื้อแบบรวมเล่มกันแล้ว เรายังต้องตามไปซื้อ Boom และ C-Kids มาอ่านกันด้วย (ยังไม่นับ KC Weekly อีกนะ)
คือ ที่เกริ่นมายาวยืดเพราะจะบอกว่า การ์ตูนส่วนใหญ่ที่เราได้อ่านตอนเด็กๆ จะเป็นการ์ตูนผู้ชายค่ะ (พึ่งมาอ่านการ์ตูนผู้หญิงตอนขึ้นม.ต้น) และหนึ่งในการ์ตูนผู้ชายเหล่านั้นที่เราได้อ่านก็มีการ์ตูนเรื่อง "คิ้วหนาซ่าสุดๆ" ด้วย ซึ่งมานึกย้อนไปตอนนี้แล้ว มันเป็นอะไรที่ขัดกับแนวของพี่ชายเรามาก
คิ้วหนา ซ่าสุดๆ หรือ Bonbonzaka Koukou Engekibu เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเรื่องราวความรักกุ๊กกิ๊กในโรงเรียนมัธยม ทีนี้ หากมันเป็นแบบ Boys be หรือ Hana Kimi อะไรแบบนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เนื้อหามันโคตรแหวกแนว
- พระเอกตามสาวเข้าไปร่วมชมรมการแสดงของโรงเรียน
- พระเอกไปหลงรัก นางเอก ซึ่งเป็นสาวแกร่งรุ่นพี่ อยู่ชมรมการแสดงและเป็นยอดนักสู้
- นางร้าย(?) ประธานชมรมการแสดงที่เป็นเกย์ แอบชอบพระเอก และวางแผนให้พระเอกตกเป็นของตัวเองตลอดเวลา
- นางร้ายมีความสามารถทางการแสดงแบบสูงลิบ สามารถปลอมตัวเป็นอะไรก็ได้ ถังขยะ ปลวก หุ่นยนตร์ สัตว์ประหลาด ฯลฯ
คือ การ์ตูนมันสนุกมากๆ ตรงที่ นางร้าย คือ ฮิโรมิ เป็นเกย์ที่โคตรฮา กับการปลอมตัว และการวางแผนต่างๆนาๆ เพื่อขุดบ่อล่อ พระเอกอย่าง โชทาโร่ และพยายามกีดกันนางเอกอย่าง มาโกโตะให้ออกไปจากชีวิตโชทาโร่ แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก
เนื้อหาแต่ละตอนจะเป็นแนวๆแบบว่า อ่านตอนเดียวจบก็ได้ เพราะมันจะมีเรื่องราวเหตุการณ์มาใหม่ทุกวัน แต่ความรักของ โชทาโร่ และ มาโกโตะ มันจะค่อยๆงอกเงยขึ้นมาทีละนิด บทจะมีฉากหวานก็น่ารักซะ
คือ มันฮาอีกอย่างตรงที่ โชทาโร่พยายามอยู่ 2 ต่อ 2 กับมาโกโตะตลอดทั้งเรื่อง เพราะต้องการสารภาพรัก แต่ประธานฮิโรมิ ก็มาแทรกกลาง และขัดขวางโชทาโร่ตลอด แบบไม่เลือกวิธีการ เช่น ทุบหัวแล้วลากโชทาโร่ไปทิ้ง หรือ แม้แต่วางระเบิด ซึ่ง ทำให้มาโกโตะไม่รู้ตัวสักที ว่า โชทาโร่ แอบชอบอยู่
ตัวละครแต่ละตัวก็ฮาโคตรๆ ทั้งตัวละครเด็กสาวที่แอบชอบโชทาโร่ จนทดลองสร้างสัตว์ประหลาดหรืออุปกรณ์มาทำร้าย มาโกโตะอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งจบลงด้วยการที่ ฮิโรมิ ต้องออกมาปราบทุกที และ มาโกโตะก็ไม่รู้ตัวว่ามีคนอิจฉาริษยาอยู่ หรือ หนุ่มนักแสดงร่วมรุ่นอีกคน ที่คิดว่าตัวเองหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในโลก แบบที่ ส่องกระจกแล้วเผลอเป็นลมตะลึงในความหล่อของตัวเอง ที่เป็นคู่แข่งทางการแสดงที่สำคัญของฮิโรมิ เช่นกัน ฮิโรมิ นั้นเป็นอัจฉริยะทางการแสดง เพราะมีแม่เป็นนักแสดงชื่อดัง เลยฝึกฝนทักษะการแสดงให้ฮิโรมิตลอดเวลา
ในการ์ตูน จะมีการใช้คำว่า โฮโม (HOMO) ตลอดเวลา คือ โชทาโร่ จะคอยบอกประธาน และ ทุกๆคนว่า "เขาไม่ใช่พวก HOMO" เพราะประธานฮิโรมิ ปล่อยข่าวลือตลอดเวลาว่า โชทาโร่เป็นแฟนตัวเอง แม้แต่มาโกโตะยังเชื่อ ตอนนั้นเราได้เห็นคำว่า โฮโม ครั้งแรก ก็ไม่คิดอะไร จนเมื่อเห็นบ่อยๆเข้า เราก็เริ่มสงสัยว่า โฮโม หมายถึงอะไร
ตอนนั้นเราเข้าใจว่า โฮโม หมายถึง "คนรักของเกย์" ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนอย่างอื่นอีก และตอนนั้นเรายังไม่ได้มองว่า "ฮิโรมิ" เป็น "เกย์" ด้วยซ้ำ ต้องบอกก่อนว่า สมัยนั้นเราเด็กมาก ป. 3 เรารู้จักแต่คำว่า "ตุ๊ด" และคำว่าเกย์ เรายังคิดไม่ถึงว่า มันหมายรวมถึงรสนิยมทางเพศแบบไหนด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นการ์ตูนเองก็ไม่ได้ใช้คำว่า "เกย์" แต่ใช้คำว่า "โฮโม" แทน
ตอนนั้นเรามองประเด็นความรักของ "ฮิโรมิ" และ "โชทาโร่" เป็นเรื่องฮาๆมากกว่านะ คือ โอเค เราอาจพูดแล้วฟังดูเหยียดเพศ แต่อยากบอกก่อนว่า เจตนาไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ตอนเด็กเราไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากขนาดนั้น เราก็คิดตามวุฒิภาวะ คือตอนนั้น เราคิดแค่ว่า "ฮิโรมิ เป็น ตุ๊ดคนนึง ที่ตามจีบผู้ชาย" คิดแค่นั้น
พอมาถึงทุกวันนี้ มานั่งนึกย้อนไปดู ไม่ใช่ว่า การ์ตูนทีมีตัวละคร HOMO มันพึ่งมามีในยุคหลังๆนี่นะ
เพราะอย่าง คิ้วหนาฯ นี่ก็มาเต็ม และเป็นคาแรคเตอร์ที่สุดโต่งด้วย
ท่ามกลางกระแสจิ้น Y ระเบิดเทิดเทิงเปิดโลกในปัจจุบัน คือ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ชอบจิ้น Y
เราไม่ว่าคนที่ชอบจิ้น Y
แต่เรา "ไม่ชอบ" คนที่ว่าเราว่า "ทำไมเราถึงไม่จิ้น Y"
ปัญหานี้มันกระทบเราครั้งแรกตอนเราไปดู X-Men First Class ซึ่งเราเป็นพวกที่ชอบความสัมพันธ์ของพวกผู้ชายมากๆ คือเราว่ามันแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่จริงๆ และเราเป็นคนที่ดูหนังด้วยพอสมควร ต้องบอกก่อนว่า First Class เป็นภาคเดียวของ ซีรีส์ X-Men ที่เราชอบ แต่เรากลับพบว่า ต้องมาเจอกระแสจิ้นวาย เกือบทุกรีวิวหนัง (ที่แม้แต่ผู้รีวิวไม่ได้พูดถึงประเด็น Y แต่คนตอบก็ยังลากเข้าไปได้) และบางครั้งอาจถึงขั้น ชักจูงให้เราเชื่อด้วยว่า นี่มัน Y ชัดๆเลยนะ
คือเราเข้าใจว่า ตัวหนังเองก็พยายามที่จะเติมกลิ่นของความสัมพันธ์ผู้ชายเข้าไป เพื่อทำให้หนังเกิดกระแสจิ้นด้วย แต่เราว่า นั่นไม่ใช่ แก่นของความสัมพันธ์จริงๆของ แม็กนีโต และ โปรเฟสเซอร์ X
ซึ่งใครจะจิ้นก็ไม่ว่ากันนะ แต่เราไม่ชอบตรงที่
พยายามจะบอกว่า มันคือ Y จริงๆนะเฟร้ยยย
มันคือ Y ชัดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
สำหรับคนดูหนังแล้ว เราไม่ค่อยรู้สึกค่ะ
เหมือนตอนที่ กาย ริชชี่ เกริ่นนำว่า เขาจงใจให้ Sherlock Holmes เวอร์ชั่น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ กับ จู๊ด ลอว์ มีความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณมากกว่า การเป็นเพื่อนชายทั่วไป กล่าวคือ เขาอยากทำให้รู้สึกว่า ทั้งคู่ผูกพันธ์กันมากกว่า "เพื่อน" ซึ่ง ณ ตอนนั้นหนังก็ถูกพูดถึงอย่างมาก ในความจงใจนี้ และ ตัวหนังเองก็ทำให้เรารู้สึกนิดๆจริงๆ ว่า โฮล์ม กับ วัตสัน มันเหมือนจะงุงิ กันเลยนะ (คือจำได้ว่าตอนอ่านหนังสือไม่รู้สึกนะ รู้สึกแค่ว่า ทั้งคู่พูดกันเป็นการเป็นงานมาก ดูเหมือนคนไม่สนิทกัน แต่จริงๆแล้วซี้ปึ้ก)
Sherlock TV Series (1984) เวอร์ชั่นนี้ Jeremy Brett และ เดวิด เบอร์ก แสดงเป็นคู่หูยอดนักสืบร่วมกัน
ซึ่งเราว่า มันไม่มีแววชวนจิ้นเลย

Sherlock Holmes (2009) ได้ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และ จู๊ด ลอว์ มาเป็นคู่หูสุดป่วน
เวอร์ชั่นการกำกับของ กาย ริชชี่ ที่เจ้าตัวออกปากเลยว่า สองตัวละครมีความสัมพันธ์เกินเพื่อนธรรมดา

Sherlock (2010) TV Series ของ BBC ที่ได้เบเนดิกต์ คัมเบอแบช และ มาร์ติน ฟรีแมน มาเป็นคู่หูชวนหลงรัก
เวอร์ชั่นนี้เราชอบที่สุด เพราะ นักแสดงมอบการแสดงที่สุดยอด บวกกับ บทโทรทัศน์ที่เฉียบคมอย่างมาก

ซึ่งเราว่า มันไม่มีแววชวนจิ้นเลย
Sherlock Holmes (2009) ได้ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และ จู๊ด ลอว์ มาเป็นคู่หูสุดป่วน
เวอร์ชั่นการกำกับของ กาย ริชชี่ ที่เจ้าตัวออกปากเลยว่า สองตัวละครมีความสัมพันธ์เกินเพื่อนธรรมดา
Sherlock (2010) TV Series ของ BBC ที่ได้เบเนดิกต์ คัมเบอแบช และ มาร์ติน ฟรีแมน มาเป็นคู่หูชวนหลงรัก
เวอร์ชั่นนี้เราชอบที่สุด เพราะ นักแสดงมอบการแสดงที่สุดยอด บวกกับ บทโทรทัศน์ที่เฉียบคมอย่างมาก
แม้แต่ Sherlock เวอร์ชั่น เบเนดิกต์ ก็ยังมี "บางอย่าง" ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เนื้อหามันพยายามพูดเรื่องความสัมพันธ์ของ โฮล์มและวัตสันให้ดูเหนือกว่า ความสัมพันธ์ของ วัตสันและภรรยา หรือ ความสัมพันธ์แบบหญิงชายถูกลดทอนลง แบบที่ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่ใช่พลอตหลัก แต่เป็นเพราะ ความสัมพันธ์ของ โฮล์มและวัตสันมันดู Eternity-นิรันดร เหนือความสัมพันธ์อื่นๆทั้งหมด
ที่พูดถึง First class และ เชอร์ล็อค โฮล์ม เพราะเรากำลังจะบอกว่า ยุคหลัง วงการภาพยนตร์ หรือ ละครซีรีส์ เอง ก็พยายามนำกระแส "ชายรักชาย" สอดแทรกลงไปในหนังที่แทบจะไม่มีประเด็นแบบนั้น ขณะที่ซีรีส์วัยรุ่นยุคใหม่ ก็แทบจะต้องมีคู่รักให้มีคู่รักร่วมเพศอยู่ในเกือบทุกเรื่องแล้ว (ส่วนตัวชอบคู่รัก Homo ใน Teen Wolf นะ น่ารักสุดๆอ่ะ T////T) ส่วนหนึ่งเพราะ อาจเป็นเจตนารมณ์ของผู้กำกับเองในการตีความ และ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ กระแสของ "คู่จิ้น" หรือ "Homo-sexual" กำลังมาแรงนั่นเอง
ทีนี้วนกลับเข้ามาที่เรื่องคิ้วหนาฯ
พอเรานั่งนึกย้อนกลับไป อันที่จริงแล้ว ตอนนั้นเราไม่ได้มองความสัมพันธ์ของ ฮิโรมิ และ โชทาโร่ เป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ตอนนั้นเรากลับรู้สึกตลกมากๆด้วยซ้ำกับพฤติกรรมของฮิโรมิ พอเรามานั่งนึกในปัจจุบัน ก็ยังนึกแปลกใจเหมือนกัน ที่ตอนนั้น คนเขียนอย่าง ยูทากะ ทากาฮาชิ กล้าใส่ประเด็น HOMO-Sexual ลงในการ์ตูนวัยรุ่นทั่วไป (ไม่ใช่ประเภท Boy's Love) แม้ตัวละครอย่าง โชทาโร่ จะไม่ได้เป็น HOMO ก็ตามที ทั้งที่ฮิโรมิ ก็แสดงออกและอ่อยอย่างชัดเจน หลายครั้งหลายหนเหลือเกิน (แต่เป็นแบบฮาๆนะ) ถ้าเราจำไม่ผิด มันมีการพูดถึงเรื่องสัญลักษณ์ทางเพศของความรักแบบ รักร่วมเพศ อยู่หลายครั้งหลายหนด้วย
ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราคิดว่า ส่วนใหญ่ในเมืองไทยยัง เรียกคนที่มีพฤติกรรมแบบ "ฮิโรมิ" ว่า ตุ๊ด หรือ กระเทย ด้วยซ้ำ การจะมาพูดเรื่อง "โฮโม" ยังดูห่างไกลมากๆ ในการทำความเข้าใจ ณ ตอนนั้น เราอยู่ ป.3 ก็สักประมาณตอนปี 1995-1996 ประมาณนี้ ซึ่งการ์ตูนเองที่ตีพิมพ์ในญี่ปุ่น ก็ตีพิมพ์ตอนปี 1992 แล้ว ซึ่งเราว่า ตอนนั้นยังเป็นยุคของการ์ตูนเด็กผู้ชาย (โชเน็น) อยู่เลย
ซึ่งทำให้เรา "คิดเอาเอง" อีกว่า ตอนนั้นในญี่ปุ่น คงมีการยอมรับเรื่อง HOMO กันแล้ว หรือไม่ก็เป็นพฤติกรรมที่มีคำจำกัดความชัดเจนแล้ว อาจจะไม่เหมือนในเมืองไทย ตอนนั้นเราจำได้ว่า เอาการ์ตูนเรื่องนี้มาให้เพื่อนอ่านที่โรงเรียน แล้วเพื่อนบางคนไม่อ่าน เพราะบอกว่าเป็น "การ์ตูนตุ๊ด"
ซึ่งพอมามองปัจจุบันนี้ การ์ตูน Y แทบจะเป็นกระแสหลักที่ใหญ่มากๆในตลาดการ์ตูนไปแล้ว เราเองไม่เคยอ่านหรือติดตาม แต่มองจากวงนอกมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนเราอยู่ม.ต้น เรารู้จักคำว่า "เคะ-เมะ" จากเว็ป Dek-D แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าความหมายจริงๆคืออะไร รู้แค่ว่าเป็น ฟิควาย เคยลองเผลอไปอ่านในคอลัมน์ที่เอามาลงในนิตยสาร i-Like ครั้งแรก
บอกเลย เขินมาก หน้าแดง T////////T
จนต้องมาตามหาว่า เคะ-เมะ มันคืออะไร
ทั้งที่จริงๆเวลาเราอ่านนิยาย ชายหญิงก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนะ
แต่ลองไปอ่าน นิยาย ชาย-ชาย จะรู้สึกเขินมากๆ
ทีนี้พอมาถามว่า ถ้าเทียบกับกระแส "จิ้น ฟิน วาย" ในปัจจุบัน "คิ้วหนา ซ่าสุดๆ" จะใช่ การ์ตูน Y มั้ย
เราก็คงตอบว่า มันไม่ใช่ แต่เราก็นับถือที่ คนเขียนอย่าง ยูทากะ ทากาฮาชิ กล้าใส่ตัวละคร HOMO ให้เป็นตัวละครหลัก (อันที่จริงเป็นตัวละครนำเลย ดูชื่อเรื่องสิ) ตอนนั้นคนอ่านอาจจะเชียร์ให้ โชทาโร่ กับ มาโกโตะคู่กัน และ ไม่มีใครนึกเชียร์ ฮิโรมิแน่นอน
แต่เราว่าตอนนี้มันก็ไม่แน่ คะแนนเสียงอาจจะเป็นครึ่งๆเลยก็ได้ ในเมื่อฮิโรมิ ทุ่มทุนสร้างให้ โชทาโร่ ซะขนาดนั้น และการที่ผู้ชายรักกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยในปัจจุบัน
หากคิ้วหนา ซ่าสุดๆ เป็นการ์ตูนในยุคปัจจุบันนี้
ตอนจบอาจเป็น ฮิโรมิ กับ โชทาโร่ ครองรักกัน
อย่างที่ฮิโรมิฝันมาตลอดว่าอยากเป็นแม่คน ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ...

ตอนจบอาจเป็น ฮิโรมิ กับ โชทาโร่ ครองรักกัน
อย่างที่ฮิโรมิฝันมาตลอดว่าอยากเป็นแม่คน ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ...