Popular Posts

คิ้วหนา ซ่าสุดๆ : การ์ตูนที่ทำให้ดิฉันรู้จักคำว่า HOMO










ตอนนั้นอยู่ป.3-4 ก็เริ่มอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่ได้อ่านแบบซีเรียสจริงจัง แต่อ่านตามพี่ชาย พี่ชายจะอ่านการ์ตูนเยอะมาก ไม่เว้นแม้แต่พวก  I's หรือ Video Girls อะไรแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นเป็นการ์ตูนต้องห้าม คือ พี่ชายห้ามเราอ่านตอนนั้นไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร เพราะภาพหน้าปกมันสวยมาก อยากอ่านสุดๆ พี่ชายงี้ อ่านเสร็จเก็บเข้าลิ้นชัก ล็อกก่อนไปโรงเรียนทุกครั้ง หวงสุดฤทธิ์ ... พอโตกว่านั้นถึงได้รู้ว่า เพราะอะไรพี่ถึงห้าม 555555555

จริงๆ บ้านเราอ่านการ์ตูนกันทุกแนวค่ะ ที่อ่านกันแบบซีเรียสแบบติดตามทุกเล่มทุกภาคเลย น่าจะ ดราก้อนบอลก่อน ตามมาด้วย โดเรมอน และ สแลมดังค์ แต่ถ้าย้อนไปไกลกว่านั้นอีก คือ บ้านเราอ่านรันม่า และ ลามู ด้วย เรางี้ชอบลามูกับรันม่ามาก แต่จำได้ว่า ลามูนี่จะแอบทะลึ่งนิดๆ จนตอนหลังๆเริ่มอ่านพวกการ์ตูนที่เขาฮิตๆกัน BOY,จอมเกบลู,Yu-ki-Oh!,ก้าวแรกฯ,One Piece ฯลฯ  นอกจากจะซื้อแบบรวมเล่มกันแล้ว เรายังต้องตามไปซื้อ Boom และ C-Kids มาอ่านกันด้วย (ยังไม่นับ KC Weekly อีกนะ)

คือ ที่เกริ่นมายาวยืดเพราะจะบอกว่า การ์ตูนส่วนใหญ่ที่เราได้อ่านตอนเด็กๆ จะเป็นการ์ตูนผู้ชายค่ะ (พึ่งมาอ่านการ์ตูนผู้หญิงตอนขึ้นม.ต้น) และหนึ่งในการ์ตูนผู้ชายเหล่านั้นที่เราได้อ่านก็มีการ์ตูนเรื่อง "คิ้วหนาซ่าสุดๆ" ด้วย ซึ่งมานึกย้อนไปตอนนี้แล้ว มันเป็นอะไรที่ขัดกับแนวของพี่ชายเรามาก

คิ้วหนา ซ่าสุดๆ หรือ Bonbonzaka Koukou Engekibu  เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับเรื่องราวความรักกุ๊กกิ๊กในโรงเรียนมัธยม ทีนี้ หากมันเป็นแบบ Boys be หรือ  Hana Kimi อะไรแบบนี้ก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เนื้อหามันโคตรแหวกแนว

- พระเอกตามสาวเข้าไปร่วมชมรมการแสดงของโรงเรียน
- พระเอกไปหลงรัก นางเอก ซึ่งเป็นสาวแกร่งรุ่นพี่ อยู่ชมรมการแสดงและเป็นยอดนักสู้
- นางร้าย(?) ประธานชมรมการแสดงที่เป็นเกย์ แอบชอบพระเอก และวางแผนให้พระเอกตกเป็นของตัวเองตลอดเวลา
- นางร้ายมีความสามารถทางการแสดงแบบสูงลิบ สามารถปลอมตัวเป็นอะไรก็ได้ ถังขยะ ปลวก หุ่นยนตร์ สัตว์ประหลาด ฯลฯ

คือ การ์ตูนมันสนุกมากๆ ตรงที่ นางร้าย คือ ฮิโรมิ เป็นเกย์ที่โคตรฮา กับการปลอมตัว และการวางแผนต่างๆนาๆ เพื่อขุดบ่อล่อ พระเอกอย่าง โชทาโร่ และพยายามกีดกันนางเอกอย่าง มาโกโตะให้ออกไปจากชีวิตโชทาโร่ แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก



เนื้อหาแต่ละตอนจะเป็นแนวๆแบบว่า อ่านตอนเดียวจบก็ได้ เพราะมันจะมีเรื่องราวเหตุการณ์มาใหม่ทุกวัน แต่ความรักของ โชทาโร่ และ มาโกโตะ มันจะค่อยๆงอกเงยขึ้นมาทีละนิด บทจะมีฉากหวานก็น่ารักซะ

คือ มันฮาอีกอย่างตรงที่ โชทาโร่พยายามอยู่ 2 ต่อ 2  กับมาโกโตะตลอดทั้งเรื่อง เพราะต้องการสารภาพรัก แต่ประธานฮิโรมิ ก็มาแทรกกลาง และขัดขวางโชทาโร่ตลอด แบบไม่เลือกวิธีการ เช่น ทุบหัวแล้วลากโชทาโร่ไปทิ้ง หรือ แม้แต่วางระเบิด ซึ่ง ทำให้มาโกโตะไม่รู้ตัวสักที ว่า โชทาโร่ แอบชอบอยู่

ตัวละครแต่ละตัวก็ฮาโคตรๆ ทั้งตัวละครเด็กสาวที่แอบชอบโชทาโร่ จนทดลองสร้างสัตว์ประหลาดหรืออุปกรณ์มาทำร้าย มาโกโตะอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งจบลงด้วยการที่ ฮิโรมิ ต้องออกมาปราบทุกที และ มาโกโตะก็ไม่รู้ตัวว่ามีคนอิจฉาริษยาอยู่ หรือ หนุ่มนักแสดงร่วมรุ่นอีกคน ที่คิดว่าตัวเองหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในโลก แบบที่ ส่องกระจกแล้วเผลอเป็นลมตะลึงในความหล่อของตัวเอง ที่เป็นคู่แข่งทางการแสดงที่สำคัญของฮิโรมิ เช่นกัน ฮิโรมิ นั้นเป็นอัจฉริยะทางการแสดง เพราะมีแม่เป็นนักแสดงชื่อดัง เลยฝึกฝนทักษะการแสดงให้ฮิโรมิตลอดเวลา

ในการ์ตูน จะมีการใช้คำว่า โฮโม (HOMO) ตลอดเวลา คือ โชทาโร่ จะคอยบอกประธาน และ ทุกๆคนว่า "เขาไม่ใช่พวก HOMO" เพราะประธานฮิโรมิ ปล่อยข่าวลือตลอดเวลาว่า โชทาโร่เป็นแฟนตัวเอง แม้แต่มาโกโตะยังเชื่อ ตอนนั้นเราได้เห็นคำว่า โฮโม ครั้งแรก ก็ไม่คิดอะไร จนเมื่อเห็นบ่อยๆเข้า เราก็เริ่มสงสัยว่า โฮโม หมายถึงอะไร

ตอนนั้นเราเข้าใจว่า โฮโม หมายถึง "คนรักของเกย์" ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนอย่างอื่นอีก และตอนนั้นเรายังไม่ได้มองว่า "ฮิโรมิ" เป็น "เกย์" ด้วยซ้ำ ต้องบอกก่อนว่า สมัยนั้นเราเด็กมาก ป. 3 เรารู้จักแต่คำว่า "ตุ๊ด" และคำว่าเกย์ เรายังคิดไม่ถึงว่า มันหมายรวมถึงรสนิยมทางเพศแบบไหนด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นการ์ตูนเองก็ไม่ได้ใช้คำว่า "เกย์" แต่ใช้คำว่า "โฮโม" แทน

ตอนนั้นเรามองประเด็นความรักของ "ฮิโรมิ" และ "โชทาโร่" เป็นเรื่องฮาๆมากกว่านะ คือ โอเค เราอาจพูดแล้วฟังดูเหยียดเพศ แต่อยากบอกก่อนว่า เจตนาไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ตอนเด็กเราไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากขนาดนั้น เราก็คิดตามวุฒิภาวะ คือตอนนั้น เราคิดแค่ว่า "ฮิโรมิ เป็น ตุ๊ดคนนึง ที่ตามจีบผู้ชาย" คิดแค่นั้น




พอมาถึงทุกวันนี้ มานั่งนึกย้อนไปดู ไม่ใช่ว่า การ์ตูนทีมีตัวละคร HOMO มันพึ่งมามีในยุคหลังๆนี่นะ
เพราะอย่าง คิ้วหนาฯ นี่ก็มาเต็ม และเป็นคาแรคเตอร์ที่สุดโต่งด้วย

ท่ามกลางกระแสจิ้น Y ระเบิดเทิดเทิงเปิดโลกในปัจจุบัน คือ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ชอบจิ้น Y
เราไม่ว่าคนที่ชอบจิ้น Y
แต่เรา "ไม่ชอบ" คนที่ว่าเราว่า "ทำไมเราถึงไม่จิ้น Y"

ปัญหานี้มันกระทบเราครั้งแรกตอนเราไปดู X-Men First Class ซึ่งเราเป็นพวกที่ชอบความสัมพันธ์ของพวกผู้ชายมากๆ คือเราว่ามันแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่จริงๆ และเราเป็นคนที่ดูหนังด้วยพอสมควร ต้องบอกก่อนว่า First Class เป็นภาคเดียวของ ซีรีส์ X-Men ที่เราชอบ แต่เรากลับพบว่า ต้องมาเจอกระแสจิ้นวาย เกือบทุกรีวิวหนัง (ที่แม้แต่ผู้รีวิวไม่ได้พูดถึงประเด็น Y แต่คนตอบก็ยังลากเข้าไปได้) และบางครั้งอาจถึงขั้น ชักจูงให้เราเชื่อด้วยว่า นี่มัน Y ชัดๆเลยนะ

คือเราเข้าใจว่า ตัวหนังเองก็พยายามที่จะเติมกลิ่นของความสัมพันธ์ผู้ชายเข้าไป เพื่อทำให้หนังเกิดกระแสจิ้นด้วย แต่เราว่า นั่นไม่ใช่ แก่นของความสัมพันธ์จริงๆของ แม็กนีโต และ โปรเฟสเซอร์ X

ซึ่งใครจะจิ้นก็ไม่ว่ากันนะ แต่เราไม่ชอบตรงที่
พยายามจะบอกว่า มันคือ Y จริงๆนะเฟร้ยยย
มันคือ Y ชัดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

สำหรับคนดูหนังแล้ว เราไม่ค่อยรู้สึกค่ะ

เหมือนตอนที่ กาย ริชชี่ เกริ่นนำว่า เขาจงใจให้ Sherlock Holmes เวอร์ชั่น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ กับ จู๊ด ลอว์ มีความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณมากกว่า การเป็นเพื่อนชายทั่วไป กล่าวคือ เขาอยากทำให้รู้สึกว่า ทั้งคู่ผูกพันธ์กันมากกว่า "เพื่อน" ซึ่ง ณ ตอนนั้นหนังก็ถูกพูดถึงอย่างมาก ในความจงใจนี้ และ ตัวหนังเองก็ทำให้เรารู้สึกนิดๆจริงๆ ว่า โฮล์ม กับ วัตสัน มันเหมือนจะงุงิ กันเลยนะ (คือจำได้ว่าตอนอ่านหนังสือไม่รู้สึกนะ รู้สึกแค่ว่า ทั้งคู่พูดกันเป็นการเป็นงานมาก ดูเหมือนคนไม่สนิทกัน แต่จริงๆแล้วซี้ปึ้ก)

Sherlock TV Series (1984) เวอร์ชั่นนี้ Jeremy Brett และ เดวิด เบอร์ก แสดงเป็นคู่หูยอดนักสืบร่วมกัน
ซึ่งเราว่า มันไม่มีแววชวนจิ้นเลย



Sherlock Holmes (2009) ได้ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และ จู๊ด ลอว์ มาเป็นคู่หูสุดป่วน
เวอร์ชั่นการกำกับของ กาย ริชชี่ ที่เจ้าตัวออกปากเลยว่า สองตัวละครมีความสัมพันธ์เกินเพื่อนธรรมดา



Sherlock (2010) TV Series ของ BBC ที่ได้เบเนดิกต์ คัมเบอแบช และ มาร์ติน ฟรีแมน มาเป็นคู่หูชวนหลงรัก
เวอร์ชั่นนี้เราชอบที่สุด เพราะ นักแสดงมอบการแสดงที่สุดยอด บวกกับ บทโทรทัศน์ที่เฉียบคมอย่างมาก



แม้แต่ Sherlock เวอร์ชั่น เบเนดิกต์ ก็ยังมี "บางอย่าง"​ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เนื้อหามันพยายามพูดเรื่องความสัมพันธ์ของ โฮล์มและวัตสันให้ดูเหนือกว่า ความสัมพันธ์ของ วัตสันและภรรยา หรือ ความสัมพันธ์แบบหญิงชายถูกลดทอนลง แบบที่ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่ใช่พลอตหลัก แต่เป็นเพราะ ความสัมพันธ์ของ โฮล์มและวัตสันมันดู Eternity-นิรันดร เหนือความสัมพันธ์อื่นๆทั้งหมด

ที่พูดถึง First class และ เชอร์ล็อค โฮล์ม เพราะเรากำลังจะบอกว่า ยุคหลัง วงการภาพยนตร์ หรือ ละครซีรีส์ เอง ก็พยายามนำกระแส "ชายรักชาย" สอดแทรกลงไปในหนังที่แทบจะไม่มีประเด็นแบบนั้น ขณะที่ซีรีส์วัยรุ่นยุคใหม่ ก็แทบจะต้องมีคู่รักให้มีคู่รักร่วมเพศอยู่ในเกือบทุกเรื่องแล้ว (ส่วนตัวชอบคู่รัก Homo ใน Teen Wolf นะ น่ารักสุดๆอ่ะ T////T) ส่วนหนึ่งเพราะ อาจเป็นเจตนารมณ์ของผู้กำกับเองในการตีความ และ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ กระแสของ "คู่จิ้น" หรือ "Homo-sexual" กำลังมาแรงนั่นเอง

ทีนี้วนกลับเข้ามาที่เรื่องคิ้วหนาฯ

พอเรานั่งนึกย้อนกลับไป อันที่จริงแล้ว ตอนนั้นเราไม่ได้มองความสัมพันธ์ของ ฮิโรมิ และ โชทาโร่ เป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ตอนนั้นเรากลับรู้สึกตลกมากๆด้วยซ้ำกับพฤติกรรมของฮิโรมิ พอเรามานั่งนึกในปัจจุบัน ก็ยังนึกแปลกใจเหมือนกัน ที่ตอนนั้น คนเขียนอย่าง ยูทากะ ทากาฮาชิ กล้าใส่ประเด็น HOMO-Sexual ลงในการ์ตูนวัยรุ่นทั่วไป (ไม่ใช่ประเภท Boy's Love) แม้ตัวละครอย่าง โชทาโร่ จะไม่ได้เป็น HOMO ก็ตามที ทั้งที่ฮิโรมิ ก็แสดงออกและอ่อยอย่างชัดเจน หลายครั้งหลายหนเหลือเกิน (แต่เป็นแบบฮาๆนะ) ถ้าเราจำไม่ผิด มันมีการพูดถึงเรื่องสัญลักษณ์ทางเพศของความรักแบบ รักร่วมเพศ อยู่หลายครั้งหลายหนด้วย

ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราคิดว่า ส่วนใหญ่ในเมืองไทยยัง เรียกคนที่มีพฤติกรรมแบบ "ฮิโรมิ" ว่า ตุ๊ด หรือ กระเทย ด้วยซ้ำ การจะมาพูดเรื่อง "โฮโม" ยังดูห่างไกลมากๆ ในการทำความเข้าใจ ณ ตอนนั้น เราอยู่ ป.3 ก็สักประมาณตอนปี 1995-1996 ประมาณนี้ ซึ่งการ์ตูนเองที่ตีพิมพ์ในญี่ปุ่น ก็ตีพิมพ์ตอนปี 1992 แล้ว ซึ่งเราว่า ตอนนั้นยังเป็นยุคของการ์ตูนเด็กผู้ชาย (โชเน็น) อยู่เลย



ซึ่งทำให้เรา "คิดเอาเอง" อีกว่า ตอนนั้นในญี่ปุ่น คงมีการยอมรับเรื่อง HOMO กันแล้ว หรือไม่ก็เป็นพฤติกรรมที่มีคำจำกัดความชัดเจนแล้ว อาจจะไม่เหมือนในเมืองไทย ตอนนั้นเราจำได้ว่า เอาการ์ตูนเรื่องนี้มาให้เพื่อนอ่านที่โรงเรียน แล้วเพื่อนบางคนไม่อ่าน เพราะบอกว่าเป็น "การ์ตูนตุ๊ด"

ซึ่งพอมามองปัจจุบันนี้ การ์ตูน Y แทบจะเป็นกระแสหลักที่ใหญ่มากๆในตลาดการ์ตูนไปแล้ว เราเองไม่เคยอ่านหรือติดตาม แต่มองจากวงนอกมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ตอนเราอยู่ม.ต้น เรารู้จักคำว่า "เคะ-เมะ" จากเว็ป Dek-D แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าความหมายจริงๆคืออะไร รู้แค่ว่าเป็น ฟิควาย เคยลองเผลอไปอ่านในคอลัมน์ที่เอามาลงในนิตยสาร i-Like ครั้งแรก

บอกเลย เขินมาก หน้าแดง T////////T

จนต้องมาตามหาว่า เคะ-เมะ มันคืออะไร
ทั้งที่จริงๆเวลาเราอ่านนิยาย ชายหญิงก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไรนะ
แต่ลองไปอ่าน นิยาย ชาย-ชาย จะรู้สึกเขินมากๆ

ทีนี้พอมาถามว่า ถ้าเทียบกับกระแส "จิ้น ฟิน วาย" ในปัจจุบัน "คิ้วหนา ซ่าสุดๆ" จะใช่ การ์ตูน Y มั้ย
เราก็คงตอบว่า มันไม่ใช่ แต่เราก็นับถือที่ คนเขียนอย่าง ยูทากะ ทากาฮาชิ กล้าใส่ตัวละคร HOMO ให้เป็นตัวละครหลัก (อันที่จริงเป็นตัวละครนำเลย ดูชื่อเรื่องสิ) ตอนนั้นคนอ่านอาจจะเชียร์ให้ โชทาโร่ กับ มาโกโตะคู่กัน และ ไม่มีใครนึกเชียร์ ฮิโรมิแน่นอน

แต่เราว่าตอนนี้มันก็ไม่แน่ คะแนนเสียงอาจจะเป็นครึ่งๆเลยก็ได้ ในเมื่อฮิโรมิ ทุ่มทุนสร้างให้ โชทาโร่ ซะขนาดนั้น และการที่ผู้ชายรักกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยในปัจจุบัน

หากคิ้วหนา ซ่าสุดๆ เป็นการ์ตูนในยุคปัจจุบันนี้
ตอนจบอาจเป็น ฮิโรมิ กับ โชทาโร่ ครองรักกัน
อย่างที่ฮิโรมิฝันมาตลอดว่าอยากเป็นแม่คน ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ...

< >

[UCL] ROUND 16 :: 19-20 FEB :: 1ST LEG Bayer 04 Leverkusen - Paris Saint Germein

กลับมาเยือนเราอีกครั้ง กับ เทศกาล UEFA CHAMPION LEAGUE 2014
คราวนี้เราเดินทางมาถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันแล้ว ซึ่ง 16 ทีมสุดท้ายในปีนี้ ก็ได้หน้าใหม่(ที่เก่า)บางทีมกลับมาสร้างสีสันเพิ่มเติม บางทีมก็เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวซะ้ด้วย อร๊างงงง~ ในตอนนี้ะเขียนเกริ่นหัวถึงฟุตบอลอังกฤษก่อนนะคะ สัปดาห์หน้าค่อยเป็นฟุตบอลประเทศอื่น

เมื่อปีที่แล้วตอนที่ทีมฟุตบอลจากอังกฤษผ่านเข้ามาถึงรอบนี้แค่ 2 ทีมได้มีบทวิเคราะห์และการคาดการณ์ออกมามากมายว่า "หรือฟุตบอลอังกฤษจะมาถึงยุคตกต่ำเสียแล้ว?" เพราะแม้แต่ในระดับฟุตบอลทีมชาติเองก็ มาตรฐานลดลงอย่างน่าใจหาย บวกกับการที่สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษ พากันตกรอบตัดเชือกกันไปหลายต่อหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้บ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง

ครั้งล่าสุดที่มีทีมฟุตบอลอังกฤษผ่านเข้ามาถึงรอบ 16 ทีมพร้อมกัน 4 ทีมต้องย้อนไปตอนปี 2009 ซึ่งก่อนหน้านั้น อังกฤษก็รักษาสถิติ ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมอย่างน้อย 3-4 ทีมมาตลอด จนกระทั่งเมื่อฤดูกาลที่แล้วนี่เองที่พวกเขาผ่านเข้าสู่รอบนี้ได้แค่ 2 ทีมจนตามมาด้วยคำถามว่า

"ฟุตบอลอังกฤษถึงยุคตกต่ำจริงหรือไม่"

Round 16 : UCL 2012-13

- สเปน (4) > รีล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเลนเซีย, มาลาก้า
- เยอรมัน (3) > บาร์เยิร์น มิวนิค,โบรุซเซีย ดอร์ทมุน, ชาลเก้ 04
- อังกฤษ (2) > อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
- อิตาลี (2) > เอซี มิลาน,ยูเวนตุส
- โปรตุเกส (1) > ปอร์โต้
- สก็อตแลนด์ (1) > เซลติก
- ตุรกี (1) > กาลาตาซาราย
- ฝรั่งเศส (1) > ปารีส แซง แชกเมงก์
- ยูเครน (1) > ชักตาร์ โดเนสก์


ปีนั้น รอบชิงชนะเลิศคือ 2 ทีมยักษ์ใหญ่จาก บุนเดสลีกา



และเหมือนต้องการลบคำสบประมาทนั้นในปีนี้พวกเขา(อังกฤษ)กลับมาเป็นทีมเต็ง(ละมั้ง)อีกครั้ง
ด้วยการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมพร้อมกัน 4 ทีมอีกครั้ง ...

- อังกฤษ (4) > แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล, เชลซี
- เยอรมัน (4) > บาร์เยิร์น มิวนิค,โบรุซเซีย ดอร์ทมุน,ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, ชาลเก้ 04
- สเปน (3) > บาร์เซโลน่า,รีล มาดริด, แอธเลติโก มาดริด
- ฝรั่งเศส (1) > ปารีส แซง เชกแมงก์
- กรีซ (1) > โอลิมเปียกอส
- ตุรกี (1) > กาลาตาซาราย
- รัสเซีย (1) > เซนิท เซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก
- อิตาลี (1) > เอซี มิลาน

ครั้งล่าสุดที่มีทีมจากอังกฤษผ่านเข้าสู่ Round 16 พร้อมกันคือในตอนปี 2009 ซึ่งครั้งนั้นคือ ฝันร้ายของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาปราชัยต่อยอดทีมแดนคาตาลัน บาร์เซโลน่า "ฝันร้ายในกรุงโรม" คือสิ่งที่ชาวยูไนเต็ดยังคงจดจำมาจนถึงวันนี้




และ ครั้งล่าสุดที่ทีมจากอังกฤษผ่านเข้าสู่รอบนี้พร้อมกัน 4 ทีมแล้วมีทีมจากอังกฤษคว้าแชมป์ได้ก็ไม่ต้องย้อนไปไกล มันคือตอนปี 2008 ที่ทีมจากอังกฤษผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปเจอกันเอง ปีนั้นเชลซีชนะลิเวอร์พูลมา ขณะที่แมนฯยูชนะบาเซโลน่าได้ และ กลายเป็นคู่ชิงชนะเลิศของ 2 ทีมจากอังกฤษ

ความดุเดือดในแมตนี้คือ นี่คือทีมแชมป์ลีกส์ และ ทีมรองแชมป์ ต้องมาไฝว้กันอีกครั้งในฟุตบอลรายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

และปีนี้มันคือ "ปีดับฝันที่มอสโก" ของเชลซี .. เราได้เห็นน้ำตาของกัปตัน จอห์น เทอร์รี่ เขาลื่นล้มในตอนที่กำลังจะเหนี่ยวไกในตอนยิงจุดโทษชี้ขาด การพลาดจุดโทษในตอนนั้น โมเมนตัมถูกเหวี่ยงกลับมาหายูไนเต็ดทันที โรนัลโด้ยิงพลาดไปแล้วในลูกที่ 3 หากพวกเขาไม่พลาดเลย ก็อาจมีโอกาสชนะได้ และ เป็น อเนลก้าของเชลซี ที่พ่ายความกดดัน ยิงพลาดไปในลูกสุดท้าย บอลที่ส่งให้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกลายเป็นแชมป์เปี้ยน




ฝันร้ายของเชลซี แต่กลับเป็นปีที่แฟนยูไนเต็ดมีความสุขที่สุด พวกเขาได้ Triple Champions จาก 3 ฟุตบอลรายการใหญ่ ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งล่าสุดที่ยูไนเต็ดทำทริปเปิ้ลแชมป์ได้อีกด้วย ...

และจนถึงวันนี้ วงการฟุตบอลได้เปลี่ยนแปลงไปแบบพลิกคว่ำคะมำหงาย
ปีนี้จะใช่ปีที่ฟุตบอลอังกฤษกลับมาผงาดอีกครั้งหรือไม่?





UEFA Champions League 2013/2014
Champions League Final Stages
19 / 02 / 2014


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
Bayer 04 Leverkusen - Paris Saint Germein
Arena : BayArena
Group Stage : รองแชมป์กลุ่ม A ต้องมาเจอกับ แชมป์กลุ่ม C

เลเวอร์คูเซ่น ผ่านเข้าสู่รอบนี้ในฐานะรองแชมป์ แม้จะเป็นทีมอันดับต้นๆในลาลีกา แต่ก็กลับมาเสียแต้มให้กับยูไนเต็ดในรอบแบ่งกลุ่มแบบหมดรูป ด้วยสกอร์ทั้งไปทั้งกลับรวมกัน 9 ลูก ทำให้แม้จะผ่านเข้ามาได้ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม แต่สถานการณ์ก็ไม่สู้ดีนัก เพราะพวกเขาดันต้องมาเจอกับแชมป์กลุ่มที่นำทัพโดย "จอมโหด ซลาตัน"

เลเวอร์ฯมีแนวรับที่ไม่มั่นคงนัก จุดเด่นของพวกเขาคือ แนวรุกและเกมบุกสายฟ้าฟาดเปรี้ยง 1 ผู้เฒ่า 1 หนุ่ม 1 เคป๊อป แนวรุก 3 ตัวคือทีเด็ดของเลเวอร์คูเซ่น ณ เวลานี้ มารอดูว่าเขาจะต้านทานพายุสลาตันจาก ซลาตัน อิบราโมวิชได้หรือไม่

ปารีสฯ คงสถานะแชมป์กลุ่ม และ แชมป์ลีกด้วยในปัจจุบัน สถานการณ์ทีมยังค่อนข้างชิล ถึง ชิลมาก แม้ทีมจะขาดหอกแหลมเปี๊ยวอย่าง เอดิสัน คาวานี่ไป จากอาการบาดเจ็บ แต่การขาดคาวานี่ไม่ได้แปลว่าทีมจะเปลี่ยนแปลงอะไรนัก ปารีสฯยังคงยึดคติ "คิดไม่ออกบอกอิบรา" อยู่เหมือนเดิม ขาดคาวานี่ พวกเขาก็แค่ มีโอกาสยิงน้อยลง ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะแพ้ หรือ ยิงไม่ได้ซะเมื่อไหร่

คิดไม่ออก บอกซลาตัน จำคำนี้ไว้...
เดี๋ยวรู้เลย!!!





เป็นไปตามคาด เมื่อ เลเวอร์ฯจัด 3 แนวรุกหน้าเป็น ซง-คีสลิง-แซม เพราะ แนวรุกชุดนี้ เคยระเบิดประตูในลีกแบบจั๋งหนับมาแล้วหลายครั้งหลายหน กองหลังก็เน้นพี่เก๋าน้องเก๋าชุดที่เล่นชปล.แล้วยิง+แอสซิทกันบ่อยๆนั่นแหละ เมื่อเจอทีมใหญ่แบบปารีสฯ ฮูเปีย คงไม่พลาดที่จะจัดชุดใหญ่ ชุดโหดสุดเท่าที่มี ลงสนามในนัดนี้ หนำซ้ำ นี่มันเกมในบ้านด้วย อย่างน้อยพวกเขาก็น่าจะได้เปรียบมั่งล่ะวะ ... (ใช่มั้ย?)

ทางด้านปารีสฯของ โลลองก์ ก็เป็นสไตล์ "ชิลไปนะ" มาถึงเยอรมันก็ไปซ้อมกันอย่างเฮฮาน่ารัก ชิลๆ นัดนี้ไม่มีคาวานี จึงเป็นทีของมัวร่าบ้าง ด้านแนวรับ ในรอบแบ่งกลุ่ม ติอาโก ซิลวาไม่ได้มีโอกาสลงเล่นเลย เนื่องจากอาการบาดเจ็บยาวตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่ในครั้งนี้เขาหายกลับมาช่วยทีมได้ระยะนึงแล้ว จึงกลับมาทวงตำแหน่งคืนจากมาควินยอสอย่างไม่ต้องสงสัย (คือตอนมาควินยอสอยู่ ก็ไม่ได้เล่นแย่เลย TT) ยังไม่นับว่า ปารีสฯพึ่งได้ โยฮัน กาบายมาอีกนะ


ครึ่งแรก : พึ่งเริ่มเกมไม่เ่ท่าไหร่ ยังไม่ได้ัทันได้จัดกระบวนทัพรับศึกมหายุทธ์จาก ออกญาซลาตัน มิคาดมันส่งขุนพลนั่งหลังม้าพร้อมหอกแหลม เข้ามาจ้วงแทงเราตั้งแต่เริ่มสงครามเสียแล้ว

ปารีสฯ เซตบอลทะลุช่องทำเกมบุกขึ้นมา มัธตุยดี้ วิ่งขึ้นมาทางฝั่งขวา ก่อนเพื่อนจะชิ่งทำทางให้สวยๆ บอลต่อไปให้มัธตูดี้ในระยะทำใจ อย่ากระนั้นเลย ซัดแมร่งตรงนี้แหละ ลูกลอยตรงสวยมากๆ เพราะบอลเซตกันมาดีมาก ลูกนี้เลย หนำใจค่อดๆ ประเด็นคือ พึ่งผ่านไปแค่ 3 นาทีเองน้ะ ... T_____T

Bayer 04 Leverkusen 0 - 1 Paris Saint Germein

จะบอกว่า ปารีสฯเล่นบอลมีทรงก็คงไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นสไตล์ "มีงง" มากกว่า หากใครได้ดูปารีสฯบ่อยจะทราบดีว่า ปารีสฯของโลลองก์ไม่ได้เล่นบอลระบบนัก แต่เน้นพึ่งทักษะเฉพาะตัวของนักเตะอย่างมาก ต่อ-แทง-เปิด ทะลุช่องไปแดนหน้า เดี๋ยวใครสักคนก็ตามขึ้นไปเก็บกินเอง ประมาณนั้น

ครึ่งแรกแม้จะเจอบุกพอควร แต่ปารีสฯก็ทำอะไรเลเวอร์ฯไม่ได้เลย แม้แต่จังหวะเหนี่ยวซึ่งกันและกันยังไม่มี เมื่อปารีสฯ มั่วมา เลเวอร์ฯก็มั่วคืนอะไรแบบนั้น บอลจะถูกตัดที่แดนกลาง แล้วต่างฝ่ายก็ต่างโยนไปโยนมา จนออก พอกลับเข้ามา ก็เคาะไปเคาะมา แย่งไปแย่งมา แล้วก็ออก ประมาณนี้

แต่ึถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็ต่างฝ่ายต่างทำเกมบุกของตัวเองเต็มที่ เลเวอร์ฯจะเป็นแนวๆวิ่งเพรส ตามจี้ ตามจิก ตามจก แต่พอได้แล้ว ซัดหาย (คือหายไปบนอัฒจันทร์) มันเลยเสียโอกาสอยู่บ่อยๆ ต้องบอกว่าจริงๆเกมไม่ได้เนือยเลย แลกกันทั้งเกม แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝันในการเหนี่ยวหน้าประตูแค่นั้น



และเหมือนต่างฝ่ายต่างรู้ ว่าเกมมันต้องการโมเมนตัม แผงหลังสุดหล่อของเราอย่าง สปาฮิคเลยจัดให้ เหนี่ยวนำ ณ ที่หน้ากรอบ ตอนที่ปารีสฯวิ่งทำเกมขึ้นมาริมเส้น ลาเวซซี่วิ่งไปรอหน้ากรอบ พี่สปาฮิคก็มาเหมือนกันแต่มาช้ากว่า เลยเหนี่ยวแม่มซ้ะ ... ล้มกลิ้งกันไปทั้งคู่ ซึ่งหน้ากรอบขนาดนี้ ก็เจอเหลืองแล้วแจกจุดโทษไปตามระเบียบ

อิบรา ซลาตันเข้ามาสังหาร แล้วก็มิพลาด ลูกเสียบเสาซ้าย แม้เลโนจะพุ่งถูกทาง แต่ช้าไปแล้วต๋อย!! ลูกตุงไปแบบตาข่ายแทบขาด

Bayer 04 Leverkusen 0 - 2 Paris Saint Germein



อิพรี่สปาาาาาาาาาาฮี้คคคคคคคค //ติ่งทีมชาติบอสเนียกรีดร้อง

เพราะกองหลังเลเวอร์ฯจะดันค่อนข้างสูง แล้วจะเป็นสไตล์ "ไม่ทัน" คือ ลงมาไม่เคยทัน เวลาเจอสวน ปารีสฯเลยขึ้นมาเร็วมากๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ปารีสฯต่อบอลกันขึ้นมา กองหลังตามมาสกัดแบบหนุบหนับ มัธตุยดี้แม่มอีกละ ได้บอลแล้วพยายามคลึง ม้วนไปม้วนมา จนกองหลังเลเวอร์ฯเข้ามาเพรสเกือบหมดทุกมุมแล้ว แต่มิคาด หันหลังกลับมา ยังเจอ แสงสว่างอยู่ตรงหน้า ออกญาซลาตัน!! ที่ทีแรกยืนนิ่งเหมือนติด STUN ประมาณว่าดูเชิงอยู่ ว่าน้องมันจะเล่นได้มั้ย ถ้าน้องไม่ได้ ส่งมาให้พี่เถอะ!!

มัธตุยดี้ สบตาซลาตันแว้บนึงอย่างรู้ใจ แล้วแทงบอลออกไปได้ทัน ก่อนที่เลเวอร์ฯจะเข้ามาเสียบได้ ซลาตันได้ลูกตั้งสวยๆ แบบนี้ จะพลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าพลาดมาบีบคอตูได้เลย

คือ.. ลูกมันส่งย้อนมา พี่แกก็วิ่งซัดเต็มที่
จังหวะ ทิศทาง องศา ความโค้งสปิน ความรุนแรง มันเพอร์เฟ็คไปหมด
ลูกลอยตรงแล้วบิดโค้งลอดใต้คาน เหนือมือเลโนไปนิดนึง เสียบมุมตาข่ายไปแบบสวยสลัดเป็ดเห็ดไก่ มาก



จังหวะที่ลูกออกจากปลายเ้ท้าไป ซลาตันแม่มแทบจะเท้าเอวรอแล้ว พอมันเข้า พี่แกก็ค่อยหันกลับมาวิ่งดีใจ โมเมนท์นั้นมันแบบบ

อิบราาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา...
ฮรอลลลลลลลลล สวยงามเหลือเกินนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หมดครึ่งแรกไปแบบเกร๋ๆ ในสกอร์ที่น่าจะไล่แฟนบอลไปนอนได้แล้ว

Bayer 04 Leverkusen 0 - 3 Paris Saint Germein



อันที่จริงแฟนบอลน่ากลับบ้านนอนตั้งแต่ครึ่งแรก แต่...อิฉันยังอยู่ค่ะ!!! นี่เราเล่นในบ้านนะคะ จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!!!

//ประหนึ่งเป็นแฟนทีมและนั่งเชียร์อยู่ในสนาม
อันที่จริงแล้วเพราะเราอยากดูฟอร์ม มินซง และอยากดูคีสลิงพอสมควร เลยอยากดูให้จบ และการดูนัดนี้ให้จบก็ไม่เสียใจจริงๆ



ครึ่งหลัง : รูปเกมครึ่งหลังจะว่าไปก็คล้ายครึ่งแรกอยู่พอสมควร คือ ต่างฝ่ายต่างบุกเต็มที่ และเป็นเลเวอร์ฯเองที่เมื่อเริ่มครึ่งหลังมาก็เร่งเกมเร็วอย่างมาก เหมือนตอนพักครึ่งไปรับประทานยาบ้ากันมา วิ่งเหมือนม้าดีดกันทุกคน จนอิฉันกลัวแต่ละท่านแหกโค้ง หรือประสานงากันจนหัวร้างข้างแตกมากกลางสนามมากๆ

เลเวอร์ฯที่เจอเจาะด้วยบอลเคาะทะลุช่องตลอด เริ่มหันมาเล่นบอลโด่ง แต่ประเด็นคือยิ่งเล่นยิ่งไปกันใหญ่ เพราะนอกจากจะเปิดไม่แม่น ยังจ่ายกันขาดๆเกินๆกว่าเดิม จนทรงบอลสิ้นสูญ ครึ่งหลัง เลเวอร์ฯไม่ได้เซทเกมรับเลย และไม่ถึงขั้นทำเกมบุกด้วย (คือบุกไม่ขึ้น) แต่เหมือนเล่นแค่ขัดขวางไม่ได้ปารีสฯเล่นได้แค่นั้นเอง นานๆทีจะฝ่าขึ้นไปได้ ก็ยิงไปดาวเคราะห์น้อยพลูโตที่ 18 ซะอย่างงั้น แววตีตื้นสักลูกยังมองไม่เห็น

แล้วดูเหมือนครึ่งแรก อิพรี่สปา(ตัน)ฮิคจะยังหล่อไม่พอ ครึ่งหลังเลย ขอเหนี่ยวอีกสักรอบ แต่ในรอบนี้ จริงๆเราว่าไม่น่าเกลียดเ่ท่าไหร่ แต่ก็ต้องว่าไปตามสภาพคือ น่าจะโดนเหลือง ประเด็นคือ มี 1 เหลืองอยู่แล้วไง (แกจะสะสมเร้อะ = =) เลยเจอแดงไปตามระเบียบบบบ

นอกจากจะทำให้ทีมเจอจุดโทษ ยังจะเจอไล่ออกจากสนามอีก
ธรรมดาหลังก็เละพออยู่แ้ล้ว ยังมาเหลือแค่ 10 คน ชะตาน่าเศร้ายิ่งนัก
อิ(หร่าน)พรี่สปาเฮ้คคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค //ติ่งทีมชาติบอสเนียกรีดร้อง (อีกครั้ง)



ท้ายเกม ปารีสฯเปลี่ยนมัธตุยดี้ออกแล้วส่ง กาบาย ลงมาแทน ณ เพลานั้นอิฉันก็คิดในใจว่า
"โลลองต์ ใจท่านช่างอำมหิตยิ่งนัก" T_____T

กาบายลงมาวิ่งป่วนเกมรับเลเวอร์ฯที่มั่วกันอยู่แล้วได้สักพัก พี่แกก็เริ่มออกลายซ่า คือ ณ จังหวะนั้นคิดว่าไม่มีใครคิดว่าจะเป็นกาบาย

บอลต่อมาจากครึ่งสนาม ไปที่ริมเส้นฝั่งซ้าย ครอสเข้ามาหน้าเกือบไปทางฝั่งขวา ชะงัก 1 จังหวะ ยิงเองไม่ได้ หันมาเจอ เจอกาบาย วิ่งมาเข้าตรงกลางพอดี จ่ายได้ระยะ กาบายเข้าฮอส แปรเน้นๆ ลูกพุ่งตรงไม่มีโค้ง เข้าประตูไปแบบสวยงาม ฟินเว่อร์วีว่าาาาาาา

เป็นอันจบเกม

Bayer 04 Leverkusen 0 - 4 Paris Saint Germein



เกมนี้แม้เลเวอร์ฯ จะถูกปารีสฯถล่ม แต่บอลก็แลกกันค่อนข้างสนุก แต่ทรงบอลจะไม่สวยงามเท่าไหร่ แต่จังหวะเข้าทำประตู ชวนเจ็บปวดรวดร้าวทุกลูก เลเวอร์ฯสู้สุดใจขาดดิ้น ซึ่งเทียบตามตำแหน่งนักเตะแล้ว สกิลของนักเตะเลเวอร์ฯสู้ฝั่งปารีสฯไม่ได้จริงๆ คือ ถึงจะแพ้ ก็แพ้แบบน่าประทับใจนะ สู้สุดใจแล้วจริงๆ

(แต่สากกันไปนิดนะ..อันที่จริงไม่นิด TT)

< >

[UCL] ROUND 16 :: 19-20 FEB :: 1ST LEG Arsenal - Bayern Munich

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ...

ในประวัติศาสตร์สโมสร ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่อาร์เซนอลเคยไปได้ไกลที่สุดในฟุตบอลรายการนี้ คือรอบชิงชนะเลิศกับสโมสรฟุตบอลบาเซโลน่า ในสนาม สเตร์ด เดอ ฟรองก์ เมือง เซนต์ เดนิส ประเทศฝรั่งเศส ตอนปี 2006 ยุคนั้นเป็นยุคของนักเตะอย่าง เยห์น เลห์มัน, โรแบร์ ปิแรส, เฟ็ดริก ลุงเบิร์ก, โจเซ่ อันโตนิโอ เรเยส, เดนิส เบิร์กแคมป์, เชสก์ ฟราเบกาส, จิลเบโต้ ซิลวา, โคโล ตูเร่, แอชลีย์ โคล, โซล แคมป์เบล, ธิเยรี่ อองรี ฯลฯ

ในรอบ 16 ทีม อาร์เซนอลเอาชนะ รีล มาดริด ชุดกาลักติโกส อันประกอบไปด้วย ซีดาน,คาลอส,โรนัลโด้,ราอูล และ เดวิด เบคแฮม มาได้ที่ผลประตูรวม 1 ประตู ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีม




ในรอบ 8 ทีมพวกเขาต้องมาพบกับ ยูเวนตุส ยูเวนตุสขณะนั้นอยู่ในยุคของ พาเวล เน็ดเวด, ปาทริค วิเอร่า,อเล็กซานโดร เดล ปิเอโร่, ลิเลียน ตูราม, ฟาบิโอ คันนาวาโร่,เอเดรียน มูตู ฯลฯ อาร์เซนอลเอาชนะยูเวนตุสได้ด้วยสกอร์ คลีนชีทอีกครั้ง ผลประตูรวม 2 ประตู

รอบ 4 ทีมสุดท้าย อาร์เซนอลต้องพบกับ บียารีล ซึ่งเป็นช่วงยุคของ ดิเอโก ฟอร์ลัน, ฆวน ริเคลเม่,ฮาเวียร์ คาเรลล่า, มานูเอล พีนา, มาคอส เซนน่า, ซานติ กาซอลา,โจเซมี ฯลฯ รอบนี้อาร์เซนอล ยังคงเก็บคลีนชีท และรวมประตูรวมยังคงเป็น 1 ประตู

เส้นทางถึงรอบชิงชนะเลิศของอาร์เซนอล มีประตูเกิดขึ้นเพียง 4 ประตูเท่านั้น 2 ประตูมาจาก ธิเยรี อองรี 1 ประตูจาก เชสก์ ฟราเบกาส และ อีก 1 ประตูจากโคโล ตูเร่ ..

รอบชิงชนะเลิศพวกเขาผ่านไปพบกับบาเซโลนา ผู้ซึ่งโค่น เชลซี,เบนฟิก้า และ เอซี มิลาน มาแล้ว พวกเขามี คาเลส ปูโยล,ติอาโก มอตต้า,ซาบี้,ซามูเอล เอโต้, โรนัลดิญโญ่,อันเดรีย อิเนสต้า,เดโก,ลิโอเนล เมซซี่ ฯลฯ



เกมวันนั้น มันเริ่มต้นด้วยความดราม่า ...

อาร์เซนอลและบาร์เซโลน่า ผลัดกันเดินเกมบุก ทั้งคู่มีโอกาสได้ยิงพอๆกัน จนกระทั่งนาทีที่ 18 เยห์น เลห์มัน ออกมาเซฟลูกหน้ากรอบเขตโทษ ประสานงาเข้ากับซามูเอล เอโต้ อย่างแรง .. นั่นทำให้เลห์มัน เจอใบแดง ถูกไล่ออกจากสนามทันที เป็นกลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกไล่ออกในศึกฟุตบอลถ้วยยุโรป รอบชิงชนะเลิศ ..



เวนเกอร์ถอด ปิแรสออก แล้วส่งมูเนียอิน ผู้รักษาประตูมือ 2 ลงไปแทน และแม้จะเหลือเพียงแค่ 10 คน แต่กลับเป็นอาร์เซนอลที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน จากลูกยิงสุดสวยของ โซล แคมเบล หมดครึ่งแรก อาร์เซนอลนำอยู่ 1-0 เริ่มครึ่งหลัง ดูเหมือนอาร์เซนอลจะยังทำเกมบุกได้ดีกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ดูเหมือนการยิงของอาร์เซนอลจะออกนอกกรอบไปเสียเยอะ ขณะที่ฝั่งบาซ่าได้ลุ้นมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นอาร์เซนอลก็ยังสามารถยันสกอร์ไว้ที่ 1-0 ได้จนเกือบท้ายเกม เป็น ซามูเอล เอโต้ทำประตูตีไข่แตกให้บาร์เซโลน่าจนได้ เป็นแอสซิทจาก เฮนริก ลาร์สสัน ดูเหมือน โมเมนตัมจะเปลี่ยนข้างเสียแล้ว ..

บัลเลตติ เป็นตัวสำรองที่พึ่งถูกเปลี่ยนลงมาแทนที่ โอเลกัวร์ และ เป็นเขานี่เองที่ยิงประตูชัยให้บาซ่าร์ ขึ้นนำอาร์เซนอลได้ในนาทีที่ 86 สถานการณ์ของอาร์เซนอลเข้าขั้นวิกฤตแล้ว ... เวนเกอร์รีบเปลี่ยนเฮล์บออกแล้วส่งเรเยสลงไปเล่นเกมบุกแทน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อท้ายเกม อาร์เซนอลยังคงถูกกระหน่ำยิงจากนักเตะบาร์เซโลน่า เวลาใกล้หมด เหลือเวลาที่ทดแค่เพียง 3 นาทีเท่านั้น อาร์เซนอลไม่สามารถสร้างปาฏิหารย์ได้ เสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้น มันเหมือนฝันร้าย ที่พวกเขาต้องเผชิญ .. ด้วยผู้เล่นเพียง 10 คน พวกเขาสู้ได้อย่างสูสี แต่สุดท้ายมันก็ไม่สามารถเป็นความจริงได้

บาร์เซโลน่า ในยุคของกุนซือ แฟรงก์ ไรจ์การ์ด คว้าแชมป์สมัยที่ 2 ได้สำเร็จ ท่ามกลางความช็อคและน้ำตาของนักเตะอาร์เซนอล ..
วันนี้มันไม่ใช่วันของพวกเขา.. ก็เท่านั้นเอง ...




นอกจากปีนั้นจะเป็นปีที่สโมสรก้าวไปได้ไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ ปีเดียวกันยังเป็นปีที่ต้องกล่าวอำลา "เดอะ ไฮบิวรี่" สนามเหย้าของทีม อายุ 93 ปีอีกด้วย ปีนั้น อาร์เซนอลจบฤดูกาลที่อันดับ 4 ในลีก และยังเป็นปีแรกที่นักเตะอย่าง นิคลาส เบนด์เนอร์,เอดู ดิยาบี้,วิโต แมนนอน,อามันด์ ตราโอเร่,ธีโอ วัลคอตต์,เอมมานูเอล อเดบายอร์ เข้าสู่ทีมอีกด้วย และ ฤดูกาลนั้น กัปตันทีมอย่าง ปาทริค วิเอร่าก็โบกมือลาไปอยู่ ยูเวนตุส พร้อมกับ เจแมน เพนเนนท์ที่ไปเบอร์มิงแฮม ซิตี้ และ สจ๊วต เทเลอร์ ไปแอสตัน วิลล่า

ผ่านไป 9 ปีแล้ว.. อาร์เซนอลยังคงเป็นทีมฟุตบอลจากสโมสรอังกฤษที่ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเคยพ่าย พีเอสวี ไฮโอเฟน,บาร์เซโลน่า,มิลาน และ บาร์เยิร์น มิวนิค และตกรอบ 16 ทีม ขณะที่เคยชนะ เอซี มิลาน,โรม่า,ปอร์โต้ จนผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมได้สำเร็จมาแล้ว

แม้สถิติกับบาร์เยิร์นจะไม่ดีนัก ปีที่แล้ว บาร์เยิร์นเอาชนะพวกเขาได้ที่สกอร์ 1-3 ในเลกแรก และพวกเขาบุกกลับไปทวงคืนได้อีก 2 ลูก แต่นั่นไม่เพียงพอให้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ...

และปีนี้เป็นอีกครั้ง ที่พวกเขาต้องพบกับบาร์เยิร์น มิวนิค ในรอบ 16 ทีม ...


UEFA Champions League 2013/2014
Champions League Final Stages
20 / 02 / 2014


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

Arsenal FC -  FC Bayern München
Arena : Emirates Stadium
Group Stage : รองแชมป์กลุ่ม F ต้องมาเจอกับ แชมป์กลุ่ม D


อาจเรียกได้ว่าเป็นคราวซวยของอาร์เซนอลอย่างแท้จริง หลังจากเอาชนะนาโปลีมาได้แบบโคตรดราม่า (ดราม่าฝั่งนาโปลีนะ) ด้วยลูกได้เสียและชัยชนะของดอร์ทมุนด์ ทำให้สถานการณ์อาเซนอลเลวร้ายลงทันที เมื่อจากสถานะแชมป์กลุ่ม พวกเขากลับต้องผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมในฐานะรองแชมป์ งานยากของรองแชมป์คือ เขาต้องจับคู่กับทีมแชมป์ของกลุ่มอื่น ...

ซึ่งแต่ละกลุ่ม มันก็โหดเหลือเกิน ...

และเหมือนถูกหวย ในโหลจับสลาก ชื่อของอาร์เซนอล ถูกจับได้เป็นชื่อสุดท้าย สิ่งที่แฟนปืนใหญ่กลัวก็เป็นความจริง .. พวกเขาดวงดีจับเจอ แชมป์เก่า บาร์เยิร์น มิวนิคจนได้ ..

ตอนนั้นอาร์เซนอลกำลังรักษาอันดับทีมหัวตารางในลีก เช่นเดียวกับบาร์เยิร์น มิวนิค เพียงแต่ในเกมลีกส์ บาร์เยิร์นแข็งแกร่งเหลือเกิน พวกเขาัยังไม่เคยแพ้ใครเลยสักนัดเดียว ยังไม่นับที่ยิงทีมอื่นพรุนเป็นลูกพรุนอีก แม้จะพ่ายแมนฯซิตี้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มเพียงนัดเดียว ก็ไม่ทำให้ความน่ากลัวของ เสือใต้ ลดลงแต่อย่างใด

บังเอิญความซวยไม่สิ้นสุด เมื่อนักเตะอาร์เซนอลทยอยกลับเข้าวง The Hospital Band กันอีกครั้ง นักเตะหลายตำแหน่งเริ่มมีปัญหา เกมลีกก็ไม่สู้ดี บอลถ้วยก็พึ่งชนะมาแบบต้องลุ้นจนเหนื่อย และยังต้องมาเจอกับบาร์เยิร์นช่วงที่ทีมกำลังมีปัญหาทำประตูได้น้อย ก็เป็นอะไรที่อันตรายเหลือเกิน

ทางฝั่งบาร์เยิร์น แม้จะขาดทีเด็ดอย่าง ริเบรี่ และ ชาคิรี่ ไป ก็ไม่ถึงขั้นทำให้สภาพทีมสะดุ้งสะเทือนอะไรนัก เพราะ เป็ป เองก็พร้อมเปลี่ยนแปลงแผนที่เหมาะสม และ มีผู้เล่นให้เลือกใช้ไม่ขาดมือ ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ผู้เล่นแต่ละคน สามารถเล่นได้หลายตำแหน่งอีกนะ T__T

นัดนี้ "เขาว่ากันว่า" พี่เสือจะขย้ำปืนแตกแบบชิลๆ .. จะจริงหรือไม่ ...
เดี๋ยวรู้เลย!!!

 
Arsenal FC -  FC Bayern München




นัดนี้เวนเกอร์เลือกส่ง ซาโนโก้ เด็กเอ๊าะลงเล่นเป็นหน้าเป้าแทนโอลิวิเยร์ ชิรูด์ที่นั่งเหี่ยวอยู่ข้างสนาม หลังจากที่ นอกจากจะฟอร์มสาก ความประพฤติยังไม่ดีนัก จนเวนเกอร์น่าจะจับดองสักพักลงโทษเรื่องความประพฤติ และ โพลโดสกี้ ยังคงนั่งหง่าวเหมือนเดิม แม้นัดก่อนหน้าจะยิงประตูชัยให้ทีมชนะผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศใน FA Cup ก็ตาม ตำแหน่งอื่นๆไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แชมโบ้ที่หายเจ็บกลับมา เวนเกอร์ยังให้โอกาสลงอย่างต่อเนื่อง และนัดล่าสุดก็ทำประตูให้ทีมอย่างสวยงามอีกด้วย

ขณะที่ทางฝั่งบาร์เยิร์น ใช้กลยุทธ์โรเตชั่นอีกครั้ง แหล่งข่าวแจ้งมาว่า นัดนี้ ไม่เกิธเซและมุลเลอร์ จะเล่นในตำแหน่ง false9 และ ลาห์มจะขึ้นมาเล่น เซนเตอร์ มันซูคิดก์พึ่งหายกลับมาอาจเป็นสำรองของมุลเลอร์

กลายเป็นว่า เป็ป เล่นเอาเงิบกันหมดอีกครั้ง เมื่อโยกเกิธไปเล่นขวา รอบเบนยืนซ้าย โครสคู่อาคันทาร่า มันซูคิดยืนหอก ซาบี้ยืนเซนเตอร์ ลาห์มไปแบ็คขวา .. แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่น่าแปลกใจอะไรนัก แต่การโรเตชั่นผู้เล่นและตำแหน่งของเป็ป ก็ำทำเอา ทึ่งได้เสมอ เอาเป็นว่า .. คราวหน้าอย่าเดาเลย ว่าใครจะยืนตรงไหนหรือใครจะเป็นตัวจริง ...

First Half



แม้จะมีสถานะและชื่อชั้นเหนือกว่า แต่ดูเหมือน ช่วงเริ่มเกม กลับเป็น บาร์เยิร์นที่ถูก อาร์เซนอลเล่นเกมเร็วกดดันตั้งแต่ 10 นาทีแรก แบบที่กองหลังของบาร์เยิร์นต้องทำงานแบบไม่ได้ว่างเว้น รูปเกมช่วงแรกจึงเป็นการเปิดหมัดแลกกันอย่างที่หลายๆคนเก็งไว้ อาร์เซนอลเองก็เล่นแบบไม่กลัวบาร์เยิร์น หนำซ้ำเกมนี้พวกเขายังไม่ได้เคาะไป เคาะมาแบบที่เคยทำด้วย

แม้ไม่อาจเรียกได้ว่า มีโอกาสได้ลุ้นแบบเต็มปากเต็มคำ เพราะเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างทำเกมบุกขึ้นไปติดกองหลังกันได้เกือบทุกครั้ง จนกระทั่ง อาร์เซนอลได้มีลุ้นก่อน แบบที่น่าจะพลิกเกมตั้งแต่ครึ่งแรก เมื่ออาร์เซนอลได้จุดโทษ เป็นโอซิล ที่ออกไปสังหาร เมื่อทีมชาติเยอรมันต้องมาเจอกันเอง ช็อตวัดใจจึงตามมา



แต่แล้วมันก็เป็นอะไรที่ดราม่าจริงๆ เมื่อ จุดโทษถูกเซฟได้ด้วยฝีมือนอยเออร์ จากภาพช้า โอซิลชะงัก 1 จังหวะเหมือนพยายามหลอกนอยเออร์ แต่นอยเออร์รู้ดีกว่านั้น แน่นอนว่าเขาพุ่งถูกทางและปัดลูกออกไปได้ อาร์เซนอลพลาดประตูแรกอย่างน่าเสียดาย

เมื่อนอยเออร์ได้บินโชว์หล่อไปแล้ว ก็ถึงคราวของเชสนีย์บ้าง เชสนีย์ได้ออกบินบ้าง แต่รูปเกมก็ยังเป็นแบบเดิมคือ ต่างฝ่ายต่างตัดเกมกันได้ที่กลางสนามและเคลียร์ได้ที่แดนหลังเสมอ

นัดนี้จะเห็นได้ว่า บาร์เยิร์นจะแทงขึ้นไปทางขวาตลอด พูดได้เลยว่า งานของกอสและแพร์หนักพอสมควร ขณะที่แบ็คอีกตัวอย่างกิ๊บก็ดันสูงตามระเบียบ ที่ขำคือ ร็อบเบนเองแทบไม่ได้มายืนซ้ายตามตำแหน่งเลย แต่ขึ้นไปเล่นฝั่งขวาคู่กับเกิธเซตลอด และตามสไตล์ร็อบเบนคือ วิ่งทั้งสนาม พล่านเชียวอะไรเชียว

ท้ายเกมที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว เพราะรูปเกมก็ทรงๆ ทำอะไรกันไม่ได้ทั้งคู่ ดราม่าบังเกิด เมื่อเชสนีย์ออกมาสกัดบอลหน้ากรอบเขตโทษขณะที่ร็อบเบนวิ่งเข้าไปเตรียมรอ ง้าง เลยกระแทกกันเต็มรัก ผู้ตัดสินวิ่งมา ซัดใบแดงใส่เชสนีย์ทันที เชสนีย์เดินออกจากสนามแบบเซงๆ แต่ไม่ได้โวยวายอะไร ดูเหมือนว่า ฟาเบี้ยงสกี้ จะได้โชว์ทีเด็ดอีกแล้วซะละมั้ง (ก่อนหน้านี้ กิ๊บบ์ก็พึ่งเจ็บจนต้องเปลี่ยน มอนเรอัลลงมาเล่นแทน)



ลูกนี้ได้จุดโทษ บาร์เยิร์นให้ หนุ่มน้อย อลาบายิง ซีซั่นนี้ อลาบายิงประตูให้ทีม 3 ประตู 2 ประตูมาจากเกมในชปล. และ 1 ประตูมาจากจุดโทษในบุนเดสลีกา ..

และดราม่าหนักกว่าเก่า เมื่อ อลาบา ยิงจุดโทษพลาด ฟาเบียงสกี้พุ่งผิดทางไปแล้ว แต่เป็นอลาบาเองที่ยิงเบียดไปทางเสาซ้าย แต่กลับชนเสาออกซะอย่างนั้น ที่น่าประทับใจคือ เมื่ออลาบาพลาด พี่ๆรีบเข้ามาตบไหล่ทันที ประมาณว่า "ไม่เป็นไรนะไอ้หนู" ..

จบครึ่งแรกไปแบบ งงๆ ปนดราม่า ไร้สกอร์

Arsenal 0 - 0 Bayern Munich



เวนเกอร์ไม่พอใจร็อบเบน และถามเขาว่า "ยูพุ่งทามมาย?" So you dive eh?

Second Half



เริ่มครึ่งหลังมาได้ไม่เท่าไหร่ ตามตำราบาร์เยิร์นเขาว่า "ขอลูกแรกก่อนหนา.. เดี๋ยว 2-3-4-5 ก็ตามมา ในเพลาอันใกล้เอง..." ปัญหาคือ บาร์เยิร์นยังจัดการลูกแรกที่ว่านั่นไม่ได้สักที

พูดยังไม่ทันขาดคำ ตะละพี่ฟิลลิป ลาห์ม ก็โชว์เนี้ยบ แอสซิทสุดหรู ให้น้องโครส ซัดไปเต็มรัก แปรนิ่ม ลูกลอยโค้ง บิดผ่านมือ ฟาเบียงสกี้ไปได้อย่างดงาม .. ลูกแรกมาแล้วจ้า
Arseanl 0 - 1 Bayern Munich



ตามโมเมนตัม เมื่อโดนนำ อาร์เซนอลก็เริ่มออกลูกเป๋ทันที หลังจากที่เหลือแค่ 10 คนอยู่ก่อนแล้ว งานยิ่งล้นมือเข้าไปใหญ่ เมื่อต้องถอด กาซอล่า ที่ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นคนที่มีโอกาสทำประตูที่สุดในนัดนี้ออกไปแล้ว คนที่เหลือบนสนาม ก็ไม่ได้ลูกยิงหวังผลเป็นชิ้นเป็นอันได้อีกเลย แม้โอซิลจะมีโอกาสได้ขึ้นไปลุ้นตลอด แต่ยังไม่ทันง้าง ก็เจอหวดดับดิ้นซะแล้ว โควต้าสุดท้ายของอาร์เซนอลคือ การถอด แชมโบ้ แล้วส่ง โรซิกกี้ลงมาแทน ดูท่าว่า เวนเกอร์อยากยันสกอร์ 0-1 นี่ไว้แล้วอาศัยโต้กลับพอขลุกขลิก



ครึ่งหลังคือ มหกรรมซัดเปรี้ยง บาร์เยิร์นได้ทีขึ้นมาบุกเกือบตลอดทั้งเกม อาร์เซนอลแทบจะดันคืนไม่ได้เลย บาร์เยิร์นขึ้นมาแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก นอกจาก ยิงติด ยิงเลย ยิงออก เกมเหมือนจะจบลงที่สกอร์ 0-1 ซึ่งหากจบด้วยสกอร์นี้จริงๆ ถือว่า อาร์เซนอลคุมเกมได้ดีมาก ทั้งที่ทีมเหลือ 10 คน

แต่แล้ว ..

อี..กระยางไฮโซ ก็แผลงฤทธิ์จนได้ ด้วยพลังแห่งกระยาง จงสำแดงฤทธา ณ บัดนี้ แท๊นนนนนน...



มุลเลอร์ ถูกเปลี่ยนลงมาท้ายเกมแทนที่มันซูคิดก์ ลงมาปุ๊ป ก็ได้ลุ้นทันทีด้วยลูกโหม่ง และ ตอนใกล้หมดเวลา ก็ตามมาด้วยโหม่งอีกครั้ง ด้วยบาร์เยิร์นฯที่เล่นครอสจากข้าง และ โยนจากกลางเข้ากรอบเขตโทษมาตั้งแต่แรก คราวนี้เป็น ลาห์ม ที่เปิดเข้ากรอบเขตโทษ ตรงนั้นมี มุลเลอร์ ..

ในขณะที่แผงหลังกำลังปั่นป่วน มุลเลอร์วิ่งเข้ามาหน้ากรอบเขตโทษ เขาเห็นลาห์มได้บอล มุลเลอร์โบกมือหยอยๆ "มาเลยพี่ ทางนี้เลย" ลาห์มไม่ให้น้องรอนาน เขาเปิดครอสเข้ากลางทันที ลูกลอยโค้งตก แบบโพรเจกไทล์ ในระยะที่ลูกกำลังจะลอยต่ำลง ด้วยเซนส์บอลสุดแหล่มของมุลเลอร์ เขารีบลดตัวพุ่งออกไปโหม่งบอลในจังหวะที่ลูกลอยมาได้ระยะพอดีดี

พุ่งไปแบบนั้น ลูกก็ลอยพุ่งผ่านฟาเบียงสกี้ไปตุงตาข่ายทันที ลูก 2 ในท้ายเกมจากมุลเลอร์ เป็นอะไรที่สวยงามบาดจิต บาดใจจริงๆ



Arseanl 0 - 2 Bayern Munich
Full Time



เกมนี้คงต้องปรบมือให้อาร์เซนอล เพราะพวกเขาเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน แต่ยังยันสกอร์ 0-1 มาได้จนเกือบจบเกม แม้ครึ่งหลังแนวรุกบ้าพลังของบาร์เยิร์นจะปั่นป่วนแค่ไหน แต่การทำงานของกองหลังอาร์เซนอลก็แทบไม่ได้เสียกระบวนไปมากเท่าไหร่เลย ที่น่าเสียดายคือ จังหวะสุดท้ายของมุลเลอร์ ที่ ณ ตอนนั้น ใครก็สกัดบอลทิ้งไม่ทันแล้ว จนมุลเลอร์อาศัยความเกรียนเก๋า เลทเกมได้ในท้ายที่สุด

ที่อยากชื่นชมมากคือแผงหลังของทั้งสองทีม ที่ทำงานกันหนักหน่วงมาก สามารถเคลียร์ลูกหวาดเสียวได้หลายๆลูก แม้แต่ นอยเออร์เองยังแอบทำเราอึ้งด้วยการ โชว์ฟอร์มโหด ซึ่งต้องสารภาพจริงๆว่า อิฉันเล่นเกม Fantasy UCL ใช้นอยเออร์มาตั้งแต่รอบแรกๆ แม้จะขายนักเตะออกไปหลายคนแต่ไม่เคยขายนอยเออร์เลย จนกระทั่งรอบนี้ ก็พึ่งมาสังเกตุว่า นอยเออร์แต้มค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับผู้รักษาประตูคนอื่น อาจเพราะนอยเออร์ไม่ค่อยได้ออกงานใหญ่ โดดปัด โดดพุ่ง หรือ โชว์ช็อตโหดแบบผู้รักษาประตูคนอื่น แต้มเลยว่าไปตามคลีนชีทปกติ จะไม่ค่อยได้คะแนนอื่นเพิ่ม สงสัยกองหลังบาร์เยิร์นทำหน้าที่ดีเกินไป

อิฉันเลยขายนอยเออร์ทิ้งซะ
มิคาดพอขายปุ๊ป แม่มมมมโชว์โหดดดดด เฉยยยย ทั้งบิน ทั้งโดดดดด ทั้งเตะเคลียร์หน้ากรอบ ทั้งเซฟฟฟฟจุดโทษษษษษ เอ็งต้องการอัลไลจากข้าาาาาาา T____T

ส่วนนักเตะอีกคนที่ชื่นชอบมาก และซื้อไว้กับทีมตลอดไม่เคยขายออกไปเลยคือ อลาบา ด้วยความที่เวลาอิฉันจะหาทีมเชียร์ ก็จะลองเลือกจากนักเตะก่อน พอไปดูบาร์เยิร์นยุคหลังๆแล้วชอบอลาบามาก (ก่อนหน้านี้ชอบมุลเลอร์ ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่นะ กระยางคุง อิอิ) เลยนั่งเชียร์อลาบาเต็มที่ พอเห็นอลาบาได้โอกาสซัดจุดโทษ นั่งเกร็งมาก ท่องในใจ

"อลาบา ยิงให้แม่หน่อยนะลูก..." ซ้ำไปซ้ำมา สรุปคือ ... ชนเสา!!!!!!
จิตใจเอ็งทำด้วยอะไรไอ้หนู T______T ทำไมทำกับแม่แบบนี้

จริงๆเราไม่ค่อยได้ดูบุนเดสลีก้า เมื่อปีที่แล้วลองเชียร์ดอร์ทมุนด์ก็สนุกดี ปีนี้ลองย้ายไปเชียร์เลเวอร์ฯบ้าง ก็สนุกสนานพอใช้ได้ แต่ในบอลถ้วยเห็นทีจะไปก่อนเพื่อน เป็นสไตล์กรอบเหลือเกิน =___= ทางฝั่งบอลอังกฤษเองอิฉันก็เชียร์แต่ลิเวอร์พูล แต่ถ้าเป็นอาร์เซนอลก็จะได้ดูบ้างบางแมตที่อยากดูจริงๆ เพราะอันที่จริงแล้วชอบเด็กอาเซนอลอยู่ 2-3 คนที่อยากติดตามฟอร์มคือ คีแรน กิ๊บบ์ กับ อ๊อกเล็ด แชมเบอร์เลน (รู้สึกว่าจะมาแนวทีมชาติอังกฤษ 55555) เห็นแชมโบ้เล่นดีเราก็ปลื้มใจนะ แต่ทำไมกิ๊บบ์เจ็บอีกแล้ว... พึ่งหายมาไม่ใช่เร้อะ = =

แอบเสียดายกับเชสนีย์ สำหรับเราจังหวะนั้นมันค่อนข้าง ขลุกขลิกนะ วอลเกรียนเจอแดงสะงั้น อดหนุกเบยลูก

สุดท้ายนี้ หากมีข้อผิดพลาดอะไร เราขออภัยล่วงหน้าจริงๆ คือ มันเป็นนัดที่เรานั่งดู เราเลยอยากเขียนแค่นั้น กะว่าจะเขียนทุกนัดไปจนถึงนัดชิง ปีที่แล้วมาคิดได้ ก็รอบใกล้ๆรอบชิงแล้ว พอกลับไปนั่งอ่านก็สนุกดี

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ



https://www.facebook.com/poprockonfilm
https://twitter.com/alfredpoprock
< >